วิญญาณ ผู้หญิง และการแต่งงาน
เคยสังเกตกันไหมว่า เวลาพูดถึงเรื่องลี้ลับ หรือวิญญาณภูตผีที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงาน ภาพจำแรกที่โผล่เข้ามาในหัว มักจะเป็นวิญญาณผู้หญิงในชุดแต่งงานสีขาวยาวลากพื้น ซึ่งบางครั้งก็มาพร้อมผ้าลูกไม้ปิดหน้าที่นิยมใช้กันในพิธีวิวาห์ หรือที่เราเรียกกันว่า ‘ผีเจ้าสาว’ มากกว่าจะเป็นผีเจ้าบ่าวในชุดทักซิโด้
แม้แต่ในโลกของภาพยนตร์ โดยเฉพาะแนวสยองขวัญ หรือหนังที่นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับการแต่งงาน ก็มักนำผีเจ้าสาวมาเป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ไม่ว่าจะเป็น The Corpse Bride (2005), Over Her Dead Body (2008) หรือกระทั่ง The Bride (2017)
สำหรับหลายคน โลกหลังความตายคือดินแดนปลายทางที่ทุกคนจะต้องเจอกันอย่างเท่าเทียม ไม่มีใครหนีพ้น ทว่าบางแง่มุมก็อาจไม่ได้เป็นเช่นนั้น แล้วทำไมโลกวิญญาณถึงมีผีเจ้าสาวเยอะแยะไปหมด หรือผู้หญิงกับการแต่งงานอาจมีความสัมพันธ์กันมากกว่าที่เราคิด?

ผู้หญิงกับการแต่งงาน
การแต่งงานสำหรับทุกคนคืออะไร? แล้วทุกคนเคยนึกฝันอยากแต่งงานกันหรือเปล่า?
ในบางสังคม การแต่งงานไม่ได้เป็นเพียงแค่อีเวนต์ที่เลือกจะจัดได้ แต่มันยังถูกยกระดับให้เป็นปลายทางสำคัญบนเส้นทางชีวิตของใครหลายๆ คน รวมถึง ‘ผู้หญิง’ ที่ควรจะไปให้ถึง ลองนึกย้อนถึงนิทานในวัยเด็ก นิทานหลายเรื่องบอกเล่าเรื่องราวของเจ้าหญิง ที่ในตอนท้ายของจะต้องลงเอยกับเจ้าชายรูปงาม แล้วได้แต่งงานกันอย่างสุขสมหวัง
เรื่องราวการหลงรักและแต่งงานกันของเจ้าหญิงที่ต้องคู่กับเจ้าชาย ไม่ใช่แค่นิทานที่เล่าขานต่อกันมา เพราะในบางวัฒนธรรมมีการพร่ำสอน ปลูกฝังให้ผู้หญิงควรจะหาคู่ครอง และแต่งงานเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น ในวัฒนธรรมไทย มีงานศึกษาในหัวข้อ “โลกทัศน์เกี่ยวกับผู้หญิงและการแต่งงานในสังคมไทยผ่านเพลง ‘ทำไมน้องไม่แต่งงาน’” ของคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนครศรีอยุธยา นำเสนอให้เห็นว่า สังคมไทยมองการต้องอยู่ลำพังโดยไร้คู่ครองของผู้หญิง เป็นเรื่องที่น่าอับอาย ด้วยการนำคำว่า ‘ขึ้นคาน’ มาเปรียบเปรยและหยอกล้อผู้หญิง เหมือนกับพวกเธอเป็นเรือเก่าเก็บไม่มีใครใช้งานแล้ว จนต้องยกขึ้นไปไว้บนคาน
การเปรียบเปรยว่าผู้หญิงที่ไม่มีคู่เป็นเรือขึ้นคาน จึงภาพสะท้อนของกรอบสังคมที่กดดันให้ผู้หญิงต้องมีคู่ครองในระยะเวลาอันเหมาะสมตามค่านิยม มิฉะนั้นก็อาจเป็นเรื่องผิดบรรทัดฐานของสังคม ตลอดจนเป็นการลดทอนคุณค่าความเป็นหญิงด้ว
ทั้งนี้ คุณค่าของผู้หญิงภายใต้กรอบสังคม หรือแนวคิดลักษณะดังกล่าว ยังเป็นเหมือนการตีกรอบและลดทอนให้ผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุทางเพศ ที่รอให้ผู้ชายมาเติมเต็มถึงจะสมบูรณ์ จนกลายเป็นคติที่ปลูกฝังคนไทยมารุ่นสู่รุ่น แถมยังเป็นการบังคับให้ผู้หญิงต้องประพฤติตนให้อยู่ในครรลองอันสมควร เพื่อให้พวกเธอสามารถมีคู่ครองเมื่อถึงเวลาที่สมควร
เราลองมาดูคติความเชื่อเรื่องการแต่งงานจากฝั่งตะวันตกกันบ้าง ก็มีการสะท้อนให้เห็นว่า การแต่งงานกับผู้หญิงถูกผูกโยงมาเป็นเวลายาวนานหลายชั่วอายุ อย่างในยุควิคตอเรียน ยุคสมัยซึ่งผู้หญิงไม่ได้มีสิทธิมีเสียงทัดเทียมกับผู้ชายอย่างในปัจจุบัน สังคมได้จำกัดและตีกรอบผู้หญิงไว้เพียงในบ้าน เมื่อเป็นเช่นนี้ การแต่งงานจึงเป็นสิ่งเดียวที่สามารถสร้างสถานะ ตลอดจนเติมเต็มความเป็นหญิงให้สมบูรณ์แบบได้
และหากผู้หญิงไม่ได้รับการแต่งงานหรือมีคู่ ก็อาจถูกล้อเลียนและเปรียบเปรยไม่ต่างอะไรจากสังคมไทย โดยในยุควิคตอเรียนจะใช้คำว่า ‘Spinster’ ซึ่งมีความหมายว่า สาวเทื้อหรือสาวทึนทึก เพื่อใช้แปะป้ายเหล่าผู้หญิงที่สูงวัยเกินกว่าจะแต่งงานได้
ตั้งแต่อดีต สังคมได้ร้อยเรียงและผูกโยงผู้หญิงเข้าไว้กับการแต่งงาน จนทำให้กลายมาเป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่ผู้หญิงต้องพิชิตให้ได้ ส่วนหนึ่งก็เพื่อเป็นการเติมเต็มคุณค่าของความเป็นหญิงให้ตนเอง และอีกส่วนก็เพื่อให้ตนกลืนกลายเป็นหนึ่งเดียวกับผู้คนในสังคม ตลอดจนป้องกันไม่ให้ตนเองถูกสังคมมาตีตรา

วิญญาณ ผู้หญิง และผีเจ้าสาว
แม้การแต่งงานจะเป็นเส้นชัยที่ผู้หญิงต้องไปให้ถึง แต่หลายครั้งกลับไม่ได้สวยงามอย่างที่คิด เมื่อถึงจุดจบของชีวิต ความรู้สึกอันไม่สมบูรณ์เหล่านั้นจึงอาจติดค้างอยู่ และไม่เลือนหายไปไหน
ทุกคนน่าจะพอเห็นภาพกันแล้วว่า ผู้หญิงและการแต่งงานมีความสัมพันธ์และผูกโยงกันขนาดไหน ลองนึกในอีกแง่มุมหนึ่ง หากผู้หญิงเหล่านี้เสียชีวิตและกลายเป็นตำนานเล่าขาน ก็ไม่แปลกเลยหากพวกเธอจะยังคงวนเวียนอยู่ในชุดเจ้าสาว อันเป็นเครื่องหมายแห่งความหวังและความสำเร็จ ซึ่งได้ยึดโยงพวกเธอไว้ไม่ต่างอะไรจากบนโลกความเป็นจริง
ถ้าจะให้เห็นภาพของผีเจ้าสาว ผู้ต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังจากการแต่งงาน เราอาจขอยกตัวอย่างตำนาน เจ้าสาวฟันดำ หรือ โอฮากุโระ เบ็ตตาริ (Ohaguro bettari) โยไคในความเชื่อดั้งเดิมของญี่ปุ่น วิญญาณหญิงสาวผู้ส่วมใส่ชุดแต่งงาน มักปรากฏตัวใกล้วัดหรือบ้านของผู้ชายในเวลาพลบค่ำ ตอนแรกเธอจะปกปิดหน้าตาของตนเอง ทว่าเมื่อมีชายคนใดเริ่มเข้าใกล้ เธอถึงจะเผยใบหน้าอันว่างเปล่า มีเพียงปากขนาดใหญ่ที่มีฟันสีดำ คอยสร้างความหวาดกลัวให้ผู้ชายคนใดก็ตามที่เข้าใกล้เธอ
ว่ากันว่า โอฮากุโระ เบ็ตตาริ มีที่มาจากหญิงสาวคนหนึ่งที่ถูกเจ้าบ่าวทอดทิ้งในวันแต่งงาน เพื่อไปหาชู้รัก ทำให้เธอเศร้าโศกเสียใจเป็นอย่างมากจนเลือกปลิดชีพตัวเอง อย่างไรก็ดี เช้าวันต่อมา ก็ได้มีคนมาพบศพของเจ้าบ่าวและชู้รักนอนตายอยู่ข้างกัน คนในหมู่บ้านจึงเชื่อกันว่า เป็นฝีมือของเจ้าสาวหม้ายขันหมาก และได้เล่าขานตำนานของเจ้าสาวฟันดำนี้สืบต่อกันมานั่นเอง
การมีอยู่ของผีเจ้าสาวอาจไม่ใช่เพียงแค่เป็นการสะท้อนถึงความโศกเศร้าของผู้หญิงที่ถูกทอดทิ้ง แต่ยังสามารถมองได้ว่าเป็นการพลิกกลับมามีอำนาจ หลังจากที่พวกเธอต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของระบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งมองผู้หญิงเป็นเพียงวัตถุ และตีกรอบให้ผู้หญิงต้องปฏิบัติตามครรลองของสังคมที่เอื้อต่อผู้ชายมากกว่า
งานศึกษาในหัวข้อ “การพลิกกลับอำนาจของผู้หญิงในภาพยนตร์สยองขวัญญี่ปุ่น: กรณีศึกษาซีรีส์ภาพยนตร์สยองขวัญเรื่อง ริงงุ และ จูอน” ของ ณัฐกร คำปวน จากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ชี้ให้เห็นว่า ในโลกความเป็นจริง ผู้หญิงต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของอำนาจผู้ชาย พวกเธอจึงถูกกดขี่ และกระทำความรุนแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ แต่การกลายเป็นวิญญาณช่วยทำให้ผู้หญิงหลุดพ้นจากอำนาจของผู้ชาย และสามารถใช้อำนาจที่มีสร้างสิ่งที่น่ากลัวได้
ด้วยเหตุนี้ ภาพจำของผีโดยส่วนใหญ่ ซึ่งประกอบสร้างขึ้นมาจากผู้คนภายใต้ระบบชายเป็นใหญ่ จึงมักเป็นวิญญาณผู้หญิงกับการเล่าผ่านความอาฆาตแค้น ที่มาพร้อมกับการสร้างความหวาดกลัวให้ผู้คน ตลอดจนเกิดภาพจำเชิงลบต่อพวกเธอ

แล้วอะไรจะบอกเราได้ว่าวิญญาณผู้หญิงมีจำนวนมากกว่าผู้ชาย? The MATTER เคยได้รวบรวมจำนวนของผีที่เคยปรากฏในเรื่องเล่าของรายการ The Shock ในปี 2017 ซึ่งมีผลสรุปคือ ผีผู้หญิงมีอัตราการปรากฏตัวมากกว่าผีผู้ชาย คิดเป็น 55% ของผีทั้งหมด หรือจำนวนทั้งหมด 18 ตนจากทั้งหมด 33 ตน
จากสถิติดังกล่าว เป็นหนึ่งในสิ่งที่สะท้อนเราให้เห็นว่า วิญญาณของผู้หญิงมีโอกาสปรากฏตัวในเรื่องเล่ามากกว่าวิญญาณผู้ชาย แล้วยิ่งในระบบชายเป็นใหญ่ซึ่งพร้อมสร้างภาพของผู้หญิงให้เป็นวิญญาณร้ายอย่างงานศึกษาข้างต้นได้กล่าวมาด้วยนั้น จึงไม่แปลกเลยที่ผีเจ้าสาวชุดขาวลากพื้นจะกลายมาเป็นภาพจำติดตาเราอย่างที่เห็นกันทุกวันนี้
ท้ายสุดแล้ว การมีอยู่ของผีเจ้าสาวจึงเป็นเหมือนภาพสะท้อนของการตีกรอบทางสังคม ทำให้ผู้หญิงต้องผูกโยงตัวเองเอาไว้กับการแต่งงาน หรือผู้ชาย (ตามความเชื่อของสังคม) ตลอดจนถูกสร้างภาพจำให้มีความน่ากลัวและความเหี้ยน โดยระบบชายเป็นใหญ่อีกทีหนึ่ง
แต่ผีอะไรก็คงไม่น่ากลัวไปกว่าระบบและแนวคิดต่างๆ ที่ถูกมนุษย์สร้างขึ้นมา เพื่อกดขี่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งแล้ว
อ้างอิงจาก