ไปงานหนังสือกันรึยังตัวเองงงง
เรียกสั้นๆ ว่างานหนังสือนี่ก็เพราะตัวฉันเองไม่เคยจำได้ว่าชื่อยาวๆ อย่างเป็นทางการของงานนั้นมีชื่อว่าอะไร รู้แค่ว่าเป็นเทศกาลเสียทรัพย์ของฉันโดยตรง ชนิดที่ไม่มีอะไรมาต้านทานได้ ในช่วงต้นปีหนึ่งครั้ง ปลายปีหนึ่งครั้ง
ฉันไปทุกปีแหละ แต่ปกติจะไปวันธรรมดา ช่วงเช้า เพื่อจะได้ไม่ต้องแออัดกับคนเยอะๆ ซึ่งฉันค่อนข้างพ่ายแพ้ ไม่ทนทานต่อการเบียดๆ ไหลๆ ตาลายๆ ไปกับจำนวนคนมหาศาล หรือหอบหนังสือต่อแถวชำระเงินจนแขนชาแล้วชาอีกกว่าจะได้จ่ายเงิน จะก้มดูพลิกดูอะไรซักเล่มก็ลำบากยากเย็น เพราะก้มก็ติดคนนั้น หันก็ติดคนนี้ เดินๆ อยู่โดนรถเข็นช้อปปิ้งโหลดหนังสือเต็มภิกขาแล่นทับนิ้วตีนให้รวดร้าว เข้าห้องน้ำก็แถวยาวเหมือนค่ายอพยพเรฟูจี แค่คิดก็เหนื่อยแล้ว
แต่ปีหลังๆ ฉันต้องปรับนิสัยให้เข้างานหนังสือในวันหยุดเสาร์อาทิตย์เช่นคนอื่นบ้าง ก็เพราะ -อะแฮ่ม- ฉันก็มีงานเขียนหนังสือที่ออกในงานเหมือนกัน
เสาร์-อาทิตย์เป็นเวลารวมฮิตของเหล่ากิจกรรมในงาน ทั้งพบปะนักเขียนนักอ่าน ไฮไลท์การสัมภาษณ์บนเวที ลดแลกแจกสนั่น หนังสือใหม่ทุกปกก็อยากจะมาออกช่วงวันหยุดที่เป็นวันหลักๆ ที่คนจะมาเที่ยวชมงานกัน นักอ่านเขาก็จะว่างมาเจอคุณวันนี้แหละ ไม่ใช่เวลาพุธเช้าแสนลับแลยิ่งกว่าเวลาตกฟากของสัตว์สงวนในป่าอย่างที่ฉันไปเสมอ อะ เสาร์อาทิตย์ก็เสาร์อาทิตย์
ปีนี้ฉันก็เพิ่งไป ‘นั่งบูธ’ มาอีก พบเจอคนนั้นคนนี้ สนุกสนานประหนึ่งงานรวมรุ่นเหมือนเคย (เออ งานรวมรุ่นมันสนุกเท่านี้จริงๆ ไหมฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ไม่เคยไปงานเลี้ยงรวมรุ่นโรงเรียนอย่างใครเขา แต่ก็คงประมาณนี้ล่ะมั้ง คนคุ้นหน้าทั้งคนขายคนซื้อกลับมาเจอกันปีละสองครั้ง) แต่ดูเหมือนจะมีอะไรบางอย่างหายๆ ไป
หนังสือชีวิตดาราน่ะคุณ
เฮ้ย ยุคนึงมันฮิตมากๆ เลยนะ ตอนนี้ดาราต่างชาติเขาก็ยังมีเขียนอยู่มั้ง (ไม่เฉพาะดาราหรอก เอาเป็นว่าคนดังต่างๆ ยิ่งมีข่าวฉาวยิ่งมีคนขอติดต่อซื้อเรื่องซื้อชีวิตกันอลหม่าน) แถมบางคนเขียนจริงจังด้วยเอ้า เล่มแรกๆ ที่ฉันเคยอ่านคือ ‘อีกฟากหนึ่งของความฝัน’ ที่เขียนโดย ลิฟฟ์ อุลมานน์ ที่เป็นทั้งนักแสดงชาวนอร์เวย์ที่เป็นทั้งเมียและมิวส์ของผู้กำกับชื่อดังอย่างอิงมาร์ เบิร์กแมน ซึ่งก็พิมพ์ออกมานานกาเลแล้ว ยังเป็นฉบับแปลไทยไพเรตส์อยู่เลยล่ะมั้ง
หลังๆ นี้ก็มีทั้งอีธาน ฮอว์ค, สตีฟ มาร์ตินส์, เจสซี่ ไอเซนเบิร์ก, มิแรนด้า จูลาย ที่ไม่ได้แค่เขียนเรื่องตัวเอง แต่เขียนเป็นเรื่องสั้น เป็นนิยายกันจริงจัง ได้รับการยอมรับจากนักอ่าน
ฝั่งไทยที่ดังแบบ…โคตรดังเลยก็คือหนังสือของคุณกาละแมร์ พัชรศรี ที่เขียนออกมาโต้หนังสือฮิต และกลายเป็นหนังสือของคุณแมร์ก็ฮิตซ้ำเข้าไปอีก พร้อมกับภาพลักษณ์เฟียร์ซๆ (fierce) เฉี่ยวๆ จิกๆ ติดตัวไปด้วยเลย จนหลังๆ เห็นคุณกาละแมร์ออกหนังสือทำกับข้าวเพื่อสุขภาพมาก็ขายดิบขายดีอยู่
เอ้อ แต่จะบอกว่าคุณกาละแมร์เป็นดาราก็ไม่เชิงอีก งั้นมาเรื่องดาราแล้วกัน
ช่วงนั้น (กว่าสิบปี) มีอาชีพโกสต์ไรเตอร์ที่เบ่งบานขึ้นมาเพื่อรับงานเขียนชีวิตดาราโดยตรง ที่อ่านยังไงก็ดูเป็นบทสัมภาษณ์ประกอบรูป เพียงแต่ตัวคนเขียนแทนตัวเองเข้าไปแทนดาราอยู่บ้างในบางเรื่อง (เช่น ‘พอถามมาถึงตรงนี้ น้องวิหคเหินลมก็ทอดสายตาไปไกล ฉันรู้ว่าเธอคงหนักใจและเครียดกับคำถามนี้ แต่ฉันก็รู้ว่าเธอตัดสินใจแล้วว่า ต้องบอกความจริงให้คนได้รู้กัน คือมึงล่วงรู้ได้ถึงเรื่องในใจเลยอะ)
ก็เลยมีชีวิตของคนเยอะแยะมากมาย ทั้งดารา นายแบบ นางแบบ สาวเซ็กซี่ (เคสนี้ มีอยู่สาวหนึ่งฉันรู้สึกผิดมาจนทุกวันนี้ ว่าเขาก็เล่าชีวิตเขาน่ะนะ ว่าได้กับใครมาบ้าง ซึ่งก็คือชีวิตของเขา แต่หนึ่งในนั้นดันเป็นคู่รักฉันอยู่ในเวลานั้น ซึ่งตามประสาชะนีฉันก็เดือดตามหน้าที่ สัมภาษณ์อะไรจิกๆ เขาไปด้วย น่าเกลียดจัง แถมทุกวันนี้ คู่รักที่ฉันออกโรงปกป้องอย่างดี ก็ไปมีลูกมีเมียแล้ว โธ่เอ๊ย อินทิราจอมเด๋อ) ซึ่งส่วนใหญ่ขายดิบขายดีด้วยการสัมภาษณ์ มุมกุ๊กกิ๊ก มุมเบื้องลึกเบื้องหลังของดาราขวัญใจหน้าจอของคุณและใครๆ ว่าโตมาแบบไหน ได้เกรดสี่กี่ตัว จริงๆ แล้วชอบผ้าห่มเน่าและเวลานอนใส่กางเกงตูดขาด อะไรก็ว่าไป
ฉันก็ดันมีขึ้นมากับเขาด้วยเล่มหนึ่ง
จริงๆ ฉันเริ่มเขียนหนังสือก๊อกๆ แก๊กๆ มานานแล้วเหมือนกัน
เขียนลงคอลัมน์ลงนิตยสารนั้นนี้บ้าง เรื่องสั้นบ้าง (ซึ่งก็มาหลังจากที่ฉันเลิกเขียนไดอะรี่ประจำวันไป เพราะแม่ไปหยิบมาอ่านแล้วเอามาล้อเสียไม่มีดี เขียนเรื่องจริงแล้วโดนแม่ล้อ เขียนเรื่องกึ่งจริงกึ่งแต่งก็ได้วะ!) แต่เล่มนี้นี่ติดต่อผ่านแม่มาเองเลยจ้า ฉันมีหน้าที่แค่นั่งข้างแม่และพยักหน้าใช่ค่ะ จริงค่ะไปกับแม่ด้วย
ฉันน่ะรักแม่อย่างไม่ต้องสงสัย อะไรที่จะทำให้แม่มีความสุขก็ทำไป มันง่ายกว่าขัดใจแม่ด้วยแหละ อย่างในกรณีหนังสือนี้ก็เช่นกัน แต่มันก็ไม่ใช่หนังสือของฉันอยู่ดีน่ะ อ่านแล้วก็ออกจะขนลุกกับความหวานน่ารักของแม่ลูก คือมันก็เป็นเรื่องจริง แต่ก็จริงในไม่จริงน่ะคุณ คือมันเกิดขึ้นจริงและเล่าจากด้านของแม่เป็นส่วนใหญ่ แถมไม่ใช่ภาษาฉันเลย (ก็แหง ฉันไม่ได้เขียนนี่หว่า) ถ้าฉันเขียนเอง ก็คงจะมาเป็นงานในยุคหลังๆ ที่เขียน คือมืดหม่น กัดจิก มองตาขวาง อะไรแบบนั้น
แล้วนังสายไหมฟูฟ่องบ้องแบ๊วในหนังสือนี่เป็นใครยะ!
ฉันเลยไม่ค่อยบอกใครว่ามีหนังสือเล่มนี้อยู่บนโลกด้วย บางทีก็นึกเสียใจขึ้นมานิดหน่อย ว่ามันก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดเป็นตราบาปในชีวิตเสียหน่อย มันก็บันทึกมุมดีๆ อันสดใส ที่แม่มองผ่านสายตาของแม่มาที่ฉันอยู่เหมือนกัน
คือ, ทุกเรื่องบนโลกมันก็มีสองด้านจริงไหม หนังสือเล่มนี้ก็คงเป็นอะไรแบบนั้น และมาถึงวันนี้ มีบางวูบที่ฉันว่ามันก็โอเคนะ อย่างน้อยนี่ก็คงเป็นความทรงจำท้ายๆ ที่แม่จะนำติดตัวไปด้วยตลอดกาล
อ้าว อีนี่ จะดึงมาเศร้าทำไม
พอๆ แค่จะบอกว่าเออ เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยเห็นดาราไทยเขียนหนังสือ (คือมีหนังสือเล่าเรื่องชีวิตตัวเองน่ะ จะเขียนเองหรือไม่ก็ช่างเถอะ) เพราะนักเขียนทำหน้าที่เป็นเซเลบได้เองในตัวอยู่แล้ว (ถ้านึกไม่ออก ฉันขอผายมือไปทางพี่เอ๋ นิ้วกลม หรือวรรณสิงห์ที่มาเยือนงานหนังสือทีนี่ทำบูธแตกได้ง่ายๆ) แต่ อะแฮ่ม ยังมีฉันอยู่จ้า ที่เป็นดารามาเขียนหนังสือ
หากคุณผู้อ่านต้องการอุดหนุนผลิตภัณฑ์จากอินทิรา ก็เชิญไปสมทบทุนได้ด้วยการซื้อหนังสือ ‘บันเทิงเชิงร้าย’ ที่เพิ่งออกหมาดๆ หรือหนังสือ ‘โลกบังคับให้กูร้าย’ ได้ที่งานหนังสือและจะมีขายตามร้านหนังสือและทางออนไลน์หลังงานจบ
อุดหนุนเพื่อ…เออ เพื่ออะไรดีวะ เพื่อค่ากายภาพของฉันและผ้าอ้อมของแม่ก็แล้วกัน
จะได้มีแรงร้ายใส่กันไปนานๆ ยังไงล่ะ!