ล่วงเข้าเดือนที่สี่ของวิกฤตไวรัส COVID-19 โลกยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่มีใครนิ่งนอนใจได้ว่าโรคจะไม่กลับมาระบาดอีกเป็นระลอกที่สอง หรือสาม แม้ในประเทศที่รับมือได้ค่อนข้างดี ดึงกราฟการติดเชื้อลงภายในขีดจำกัดของระบบสาธารณสุขในประเทศ คนจำนวนมากเดือดร้อนใหญ่หลวงจากมาตรการบังคับระยะห่างทางสังคมของรัฐ เนื่องจากเป็นการจำกัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจอย่างรุนแรง ร้อนถึงรัฐบาลทั่วโลกต้องเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ และกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟก็ออกมาเตือนว่า เศรษฐกิจโลกในปี ค.ศ.2020 จะถดถอยอย่างรุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในปี ค.ศ.1930 เป็นต้นมา
ในขณะที่ยังไม่มีใครพยากรณ์ได้ว่ามนุษย์จะคิดค้นวัคซีนได้สำเร็จได้เมื่อไร และหายนะทางเศรษฐกิจสุดท้ายจะไปจบลงตรงไหน สิ่งที่เราควรจะรู้ซึ้งแล้วก็คือ วิกฤต COVID-19 เป็นบทเรียนบทใหญ่จากธรรมชาติที่กระชากให้เรามองเห็นความสำคัญของการคิดเชิงระบบ ฉุกให้ครุ่นคิดพิจารณาอย่างถี่ถ้วนกว่าเคยว่า กิจกรรมต่างๆ ของมนุษย์ส่งผลต่อระบบนิเวศอย่างไร และการเดินหน้าทำลายระบบนิเวศนั้นส่งผลให้สมดุลในธรรมชาติเสียหายเกินเยียวยาไปแล้วขนาดไหน
วันนี้นักวิทยาศาสตร์ค่อนข้างมั่นใจว่า COVID-19 แพร่จากสัตว์ป่ามาสู่คน คำถามสำคัญก็คือ ‘จุดเปลี่ยน’ อยู่ตรงไหน จุดไหนที่ไวรัสวิวัฒนาการรหัสพันธุกรรมและส่งต่อมายังมนุษย์ได้ นักวิทยาศาสตร์หลายคนเชื่อว่าจุดเริ่มต้นน่าจะเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์เองที่ทำให้สัตว์ป่าเข้ามาใกล้ชิดกับชีวิตของมนุษย์มากกว่าปกติ ไม่ว่าจะเป็นภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (climate change) การเปลี่ยนแปลงรูปแบบของการใช้ที่ดิน รวมถึงการถางป่ามาขยายพื้นที่การเกษตรและพื้นที่เมือง
นักวิจัยวิทยาศาสตร์สุขภาพสาขาใหม่เอี่ยมคือ planetary health หรือ ‘สุขภาวะของดาวเคราะห์’ ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างสุขภาพของระบบนิเวศ สุขภาพของพืชและสัตว์ และสุขภาพของมนุษย์ ผู้เชี่ยวชาญสาขานี้ชี้ว่าทั้งการตัดไม้ทำลายป่าและภาวะการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบกับความหนาแน่นของประชากรมนุษย์ที่เพิ่มสูงขึ้นมาก ส่งผลให้สัตว์หลายชนิดโดยเฉพาะสัตว์ขาปล้อง (arthropods) เช่น ยุง สามารถส่งต่อโรคที่ปกติเกิดกับสัตว์เท่านั้น (zoonotic disease) มาสู่คนได้
ภาวะสภาพภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงส่งผลให้ระบบนิเวศทั้งโลกพลิกผันวิปริต สัตว์หลายชนิดต้องหนีตายย้ายออกจากถิ่นหากินที่คุ้นเคย และการเดินหน้าทำลายระบบนิเวศของมนุษย์ก็ทำให้สัตว์และพืชจำนวนมากสูญพันธุ์ ความหลากหลายทางชีวภาพลดลงอย่างฮวบฮาบจนนักวิทยาศาสตร์หลายคนเตือนว่า เรากำลังอยู่ในยุคแห่งการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่หกในประวัติศาสตร์ดาวเคราะห์โลก แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่การสูญพันธุ์ไม่ได้เกิดจากหายนะทางธรรมชาติ แต่เกิดจากน้ำมือของสัตว์บนโลก สัตว์ที่เรียกตัวเองว่ามนุษย์
ในห้วงยามที่ COVID-19 เรียกร้องให้มนุษยชาติทบทวนความสัมพันธ์ที่กำลังขาดสะบั้นระหว่างเรากับธรรมชาติ ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะเล่น In Other Waters เกมเกี่ยวกับประเด็นนี้ที่ดีที่สุดที่ผู้เขียนเคยเล่น
เกมนี้หากมองผิวเผินเหมือนเอาส่วนที่ดีที่สุดของ Subnautica และ Waking Mars มาเขย่าเข้าด้วยกันอย่างกลมกล่อม แต่ให้ประสบการณ์พิเศษเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง เกมชนิดนี้นำเอาไอเดียเรียบง่ายหนึ่งไอเดียมาลงมือทำอย่างสมบูรณ์แบบ จนออกมาเป็นเกมเกี่ยวกับการสำรวจใต้น้ำบนดาวเคราะห์นอกระบบสุริยะ ตลอดทั้งเกมไม่มีกราฟิกสามมิติสวยงามใดๆ มีเพียงการให้เราเพ่งมองแผนที่นามธรรม ลายเส้นของภูมิประเทศใต้น้ำแสนพิศวง แต่แล้ว ‘โลก’ ที่เกมนี้สร้างกลับเป็นโลกที่สวยงามที่สุด ลืมไม่ลงที่สุดโลกหนึ่งในประวัติศาสตร์เกม ด้วยความรุ่มรวยของภาษาที่ขับเน้นรายละเอียดน่าพิศวงของสัตว์และพืชประหลาดนานาพันธุ์ ความน่าติดตามของเนื้อเรื่อง แถมดนตรีอิเล็กทรอนิกส์เพลินหูที่ทำให้การสำรวจโลกใต้น้ำเป็นไปอย่างรื่นรมย์ไร้ความเครียดใดๆ
In Other Waters ให้เราเล่นเป็นปัญญาประดิษฐ์ (AI) ไร้นามประจำชุดดำน้ำไฮเทค ในโลกอนาคตที่มนุษย์ออกเดินทางสำรวจโลกต่างดาวเป็นว่าเล่น คนที่ใส่ชุดดำน้ำของเราคือนักชีววิทยาต่างดาว (xenobiologist) นาม เอลเลอรี วาส (Ellery Vas) เธอไปเยือนดาวเคราะห์ Gliese 677Cc (ดาวเคราะห์คล้ายโลกที่มีอยู่จริง) เพื่อตามหา มินาอิ โนมูระ เพื่อนร่วมงานที่หายสาบสูญ แต่สิ่งที่ ดร.วาส ไม่เคยรู้ก่อนหน้านี้เลยก็คือ มหาสมุทรบนดาวดวงนี้ซ่อนความลับไว้มากมาย รวมถึงชีวิตต่างดาวพันธุ์แรกๆ ที่มนุษย์ค้นพบ และคำถามที่ว่าทำไม ดร.วาส และคนอื่นบนโลกถึงไม่เคยได้รับรู้การค้นพบครั้งยิ่งใหญ่ครั้งนี้ ก็เป็นปริศนาที่เกมจะค่อยๆ คลี่คลายออกมาอย่างแยบยลและทรงพลัง
ในเมื่อเราไม่ได้เล่นเป็น ดร. วาส แต่เป็น AI ที่บังคับชุดดำน้ำไฮเทคของเธออีกที เราจึงต้องบังคับชุด (ซึ่งคิดว่าเป็น ‘ยานดำน้ำ’ จะเหมาะกว่า เพราะอุปกรณ์เยอะเหลือเกิน) ผ่านเกาะแก่งและอันตรายใต้ทะเล รวมถึงช่วยเธอเก็บตัวอย่างพืชและสัตว์ต่างดาวไปวิเคราะห์ในฐานใต้ทะเล ด้วยเหตุนี้ ‘โลก’ ที่เรามองเห็นจึงไม่ใช่โลกเดียวกันกับที่ ดร. วาสมองเห็น เรามองเห็นโลกเป็นเพียงลายเส้นภูมิประเทศบนหน้าจอ สัญลักษณ์วงกลมหลายทรงแทนสัตว์และพืชต่างดาว สัญลักษณ์สามเหลี่ยมแทนจุดที่เราเดินหน้า (ดำน้ำ) ไปหาได้ และหน้าปัดอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีให้ใช้เท่านั้นเอง
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ระบบเกมที่มินิมอลขนาดนี้กลับทำให้โลกต่างดาวของ In Other Waters งดงามแจ่มชัด อินเทอร์เฟซ หรือหน้าจอในเกมเรียบง่ายราวกับงานศิลปะ ใช้เฉดสีฟ้า เขียว เหลือง และโทนที่เข้ากับสภาพแวดล้อมได้อย่างเหมาะเจาะ แถมยังปรับตามเนื้อเรื่องเพื่อเปลี่ยนอารมณ์คนเล่น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราเริ่มได้ดำน้ำสำรวจไปลึกลงกว่าเดิม (ระดับ 3 กิโลเมตรจากผิวน้ำ) โทนสีทั้งจอจะเปลี่ยนจากฟ้าอ่อน-เหลืองมะนาว เป็นน้ำเงินเข้ม-ส้ม (สร้างความรู้สึกอึดอัดได้เป็นอย่างดี) และเมื่อเราได้เข้าสู่ดินแดนที่เต็มไปด้วยอันตราย ออกซิเจนในถังร่อยหรอลงเรื่อยๆ หน้าจอก็เปลี่ยนเป็น ดำ-แดง พร้อมกับดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ที่เปลี่ยนจังหวะเป็นโน้ตระทึกขวัญ ส่วนการบังคับก็เรียบง่ายและเข้าใจง่ายไม่แพ้การออกแบบหน้าจอ เพียงใช้เม้าส์ (หรือจอย ถ้าเล่นเวอร์ชั่น Nintendo Switch) คลิกและกดปุ่มอุปกรณ์ต่างๆ หรือบนหน้าจอ ลองทำสองสามครั้งก็จะรู้ว่าอะไรเป็นอะไร
การสำรวจโลกใต้น้ำต้องอาศัยความช่วยเหลือเกื้อกูลกันระหว่างเรา (AI) กับ ดร.วาส เราเป็นคนขับชุดดำน้ำ สแกนบริเวณรอบๆ เพื่อเปิดเส้นทางใหม่ๆ และคลิกเลือกเส้นทาง ส่วน ดร.วาส จะอธิบายว่าเธอมองเห็นอะไรบ้างตรงจุดที่เราคลิก รวมถึงสนทนากับเราเป็นครั้งคราว สัตว์ หรือพืชปรากฎบนแผนที่เป็นรูปวงกลม บางชนิดก็ซ้อนกัน ทุกครั้งที่คลิก ดร.วาสจะบรรยายว่าเธอเห็นอะไร ถ้าเราเจอสัตว์หรือพืชชนิดนั้นมากพอ ดร.วาส จะตั้งชื่อให้มัน บันทึกสัตว์ หรือพืชพันธุ์นั้นๆ ลงในฐานข้อมูล และถ้าเราสะสมตัวอย่างจากสิ่งมีชีวิตชนิดนั้นได้มากพอ และไปค้นคว้าวิเคราะห์ตัวอย่างต่อในฐานใต้น้ำ เราจะปลดล็อกคำบรรยายพฤติกรรม ทฤษฎี รวมทั้งรูปสเก็ตลายเส้นสวยงาม ฝีมือ ดร.วาสอีกตามระเบียบ
บนแผนที่ จุดที่เราเคยสำรวจแล้วจะขึ้นเป็นสามเหลี่ยมสีเหลือง จุดที่ไม่เคยไปจะแสดงเป็นสามเหลี่ยมสีขาว ทำให้การสำรวจเส้นทางที่ไม่เคยไปเป็นเรื่องง่ายมากในเกม และเกมก็เชื้อเชิญให้เราใช้เวลาตามสบายไปกับการสำรวจ เพราะไม่มีเส้นตายใดๆ ที่เราต้องเร่งทำให้ทัน ทุกครั้งก่อนออกจากฐานใต้น้ำ (ซึ่งก็มีหลายฐาน สำหรับแต่ละบริเวณ) เราจะได้เลือกว่าจะเริ่มดำน้ำจากฐานไหน แผนที่โลกใต้น้ำจะแสดงจุดที่น่าสนใจ ทั้งจุดที่จะขับเคลื่อนเส้นเรื่องไปข้างหน้า และจุดที่เราสามารถเก็บตัวอย่างมาวิเคราะห์เพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับสัตว์และพืชต่างดาว
In Other Waters เป็นเกมผจญภัยที่เน้นการเล่าเรื่อง อยากให้เราได้ครุ่นคิดช้าๆ ตามจังหวะเกม ทั้งเกมไม่มีอุปสรรคอะไรที่จะก่อให้เกิดความเครียด หรือทำให้เราไปต่อไม่ได้ มีเพียงอุปสรรคเล็กๆ น้อยๆ ที่เข้ากับลักษณะของโลกต่างดาว เช่น บางบริเวณเราต้องพา ดร.วาส ดำน้ำผ่านแถบพิษประหลาดที่ทำให้ออกซิเจนของเราหมดไปทีละน้อย (โชคดีที่ตัวอย่างสัตว์และพืชทุกชนิดในเกมนี้สามารถเอามาใช้เติมพลังงาน หรือออกซิเจนในชุดดำน้ำได้ แต่ชุดของเราเก็บตัวอย่างได้จำกัด) หรือบางครั้งเราต้องปล่อยเมล็ดพืชต่างดาวให้มันงอกงามข้างเส้นทาง เพื่อบรรเทาความเชี่ยวของกระแสน้ำ จะได้ดำน้ำผ่านจุดนั้นไปได้ อีกหลายครั้งเราต้องปล่อยกระเปาะก๊าซจากสัตว์ (ที่หน้าตาคล้ายต้นกก) เพื่อลวงแถบพืชให้หดตัว เปิดทางให้ดำน้ำผ่านไปได้ กิจกรรมเหล่านี้ง่ายจนเรียกไม่ได้ว่าปริศนาซับซ้อน หากเป็นอุบายที่ทำให้เรา ‘อิน’ กับโลกในเกมมากขึ้น อยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสรรพสัตว์และพืชบนดาวดวงนี้มากขึ้น
ระบบเกมที่เรียบง่าย มินิมอลแต่ทรงพลังทั้งหมดทำให้ In Other Waters ตรึงความสนใจเราได้นานพอที่จะเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่ง เรื่องราวที่ไปไกลกว่าความพิศวงของโลกต่างดาวที่สัตว์และพืชอยู่ร่วมกันอย่างเกื้อกูล (symbiosis) ซึ่งความเกื้อกูลนั้นก็เป็นลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างเรากับ ดร.วาส เช่นกัน เล่นไปไม่นานเราจะถึงบางอ้อว่า In Other Waters ถ่ายทอดทั้งเรื่องส่วนตัวและเรื่องสาธารณะ เส้นเรื่องหลักว่าด้วยความสัมพันธ์อันลึกซึ้งแต่ไม่ราบรื่นของนักวิทยาศาสตร์สองคน แต่กว่าจะถึงฉากสุดท้าย เราก็จะได้รับรู้เรื่องราวที่ใหญ่กว่านั้น ว่าด้วยวิธีตักตวงทรัพยากรธรรมชาติอย่างไม่แยแสธรรมชาติของมนุษย์ วิธีที่บริษัทยักษ์ใหญ่ในอนาคตไม่ต่างจากหลายบริษัทในปัจจุบันออกสำรวจดาวเคราะห์ใหม่ๆ เพียงเพื่อจะถลุงมันให้ราบเป็นหน้ากลอง เช่นเดียวกับที่ทำกับดาวเคราะห์โลกนานก่อนหน้านั้น
การค้นพบชีวิตต่างดาวบนดาวเคราะห์ที่ ดร.วาส และคนอื่นอีกมากมายเคยคิดว่าไร้ชีวิต ก่อให้เกิดคำถามทางศีลธรรมที่แหลมคมมากมายในใจของ ดร.วาส (และในใจของเราคนเล่นด้วย) และเมื่อปริศนาทั้งหมดถูกเผยออก ชะตากรรมของ โนมูระ เพื่อนร่วมงานคนสนิทของ ดร.วาส ถูกคลี่คลาย เราก็จะได้พบกับบทเรียนที่ลืมไม่ลงว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติ บทเรียนที่เราควรจะเรียนรู้ได้เองจากการสังเกตวิธีที่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดบนดาวเคราะห์ดวงนี้พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
In Other Waters สอนเราอย่างลึกซึ้งโดยไม่สั่งสอน สอนผ่านการสร้างโลกต่างดาวสมจริงที่ทุกสิ่งถูกนิยามด้วยหลักการเกื้อกูลกันตามธรรมชาติ (symbiosis) ว่า ไม่มีชีวิตไหนหรอกที่ดำรงอยู่ได้โดยปราศจากสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น รวมทั้งตัวเราเองด้วย แม้แต่ภายในร่างกายของมนุษย์เองก็มีระบบนิเวศที่สลับซับซ้อน ระบบนิเวศของจุลินทรีย์ที่สุ่มเสี่ยงจะเปลี่ยนไปตลอดกาลจากการที่มนุษย์ข้องแวะกับธรรมชาติน้อยลง และใช้ยาปฏิชีวนะอย่างไม่บันยะบันยัง