ปลายปีแบบนี้สำนักกูรูธุรกิจตัวพ่อตัวแม่ต่างๆ เริ่มทยอยกันพยากรณ์สรุปเทรนด์ธุรกิจที่จะฮิตในปีหน้าให้ได้เตรียมตัวเกาะกระแสกันแล้ว ล่าสุด Trendwatching .com บริษัทที่ปรึกษาทางธุรกิจด้านเทรนด์โดยเฉพาะ ที่มีจุดเด่นในการจับกระแสธุรกิจและการตลาดใหม่ๆ ทั่วโลกมาพลิกมุมมองจัดกลุ่มเป็นเทรนด์ใหม่ ชื่อเก๋ๆ พร้อมตัวอย่างจี๊ดจ๊าดน่าสนใจทุกๆ ปี ได้ออกรายงานทำนาย 5 เทรนด์ผู้บริโภคในปี 2017 (5 Consumer Trend For 2017) 5 เทรนด์ใหม่ที่ว่าจะมีอะไรบ้าง มาดูกัน!
1. Virtual Experience Economy – เศรษฐกิจประสบการณ์เสมือนจริง
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากระแส VR AR หรือแม้แต่ MR[1] กำลังมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมบันเทิง เกม แอพพลิเคชัน ปีนี้มาเราได้เห็นการเอาเทคโนโลยีประสบการณ์เสมือนจริงเหล่านี้มาใช้กันไม่น้อย ไม่ว่าจะ Oculus Google Cardboard Pokémon GO หรือแม้แต่ SnapChat
ในปีหน้า Trendwatching ฟันธงว่าเทรนด์ใช่เทคโนโลยีประสบการณ์เสมือนจริงนี้จะยกระดับไปอีกขั้น กลายเป็นภาคเศรษฐกิจใหม่กันเลยทีเดียว เอาสิ! เทรนด์นี้เป็นเทรนด์ลูกของ Status Seekers หรือเทรนด์การนิยามตัวตน ขับเคลื่อนโดยคนยุคใหม่โดยเฉพาะ Gen Y ที่ให้ความสำคัญกับการเสพประสบการณ์ยิ่งกว่าสิ่งอื่นใด เพื่อบ่งบอกตัวตนและสร้างความแตกต่างจากคนอื่น Kevin Kelly ผู้อำนวยการบริหารของ Wired magazine ถึงกับกล่าวไว้ว่า ตอนนี้ยุคสมัยได้เปลี่ยนไปแล้ว ‘ประสบการณ์’ กลายเป็นหน่วยวัดคุณค่าใหม่ในสื่อกลางที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ ไม่ต่างจากเดิมที่ความรู้และข้อมูลมีคุณค่าในโลกอินเทอร์เน็ต
เทคโนโลยีประสบการณ์เสมือนจริงจึงเข้ามาตอบโจทย์ผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เพราะมันมีความแตกต่าง ถูกพัฒนาไปใช้กับกิจกรรมใหม่ๆ อยู่เรื่อยๆ แถมยังทลายข้อจำกัดเรื่องสถานที่และมีราคาที่ถูกลงด้วย เมื่อเทียบกับการออกไปเสพประสบการณ์จริง เทคโนโลยี VR เดี๋ยวนี้ แค่ใช้มือถือที่มีอยู่กับกล่องกระดาษติดเลนส์ที่ออกแบบมาเฉพาะก็เล่นเกม 3 มิติแบบ VR ได้แล้ว
มาลองดูกันว่ามีอะไรกำลังมาภายใต้เทรนด์นี้บ้าง
- ดูคอนเสิร์ตแบบ VR ABBA วงป๊อปรุ่นพ่อสัญชาติสวีเดน ประกาศจัดคอนเสิร์ตในปี 2018 นี้ โดยเอาเทคโนโลยี VR เต็มรูปแบบมาใช้ เปิดประสบการณ์ใหม่ หลังห่างหายจากคอนเสิร์ตมากกว่า 30 ปี และแถมคิดเผื่อให้แฟนๆ ที่บินมาดูไม่ได้มีโอกาสร่วมเสพประสบการณ์ไปพร้อมกันได้ด้วย
- ชอปปิ้งออนไลน์แบบ VR & AR ล่าสุดในวันชอปปิ้งแห่งชาติของชาวจีน 11.11 หรือวัน Singles’ Day ที่ผ่านมา Alibaba เปิดตัวทดลองใช้ Buy+[2] สร้างประสบการณ์ชอปปิ้งแบบ 360 องศา ให้นักชอปออนไลน์ใส่อุปกรณ์ VR เหมือนเดินทะลุเข้าไปชอปในร้านจริง ซึ่งเมื่อช่วงกลางปีที่ผ่านมา eBay ร่วมกับห้าง Myer ในออสเตรเลีย ก็เพิ่งเปิดตัวห้าง VR แห่งแรกของโลกไปเหมือนกัน[3]
- สร้างโลก VR ด้วยตัวเองกับ Tilt Brush แอพพลิเคชัน โดย Google ที่ไว้ใช้กับเครื่อง HTC Vive ไม่ใช่แค่เข้าไปเล่น แต่เทคโนโลยีนี้ช่วยให้คุณวาดโลก VR แบบ 3 มิติได้ด้วยตัวเองตามจินตนาการอีกด้วยนะ [4]
2. World Apart – คนละฟากฟ้า
เทรนด์นี้กำลังมาเพราะมีเทรนด์แม่อย่าง Remapped ที่อธิบายว่าขั้วอำนาจทางเศรษฐกิจของโลกเปลี่ยนแปลงไป สังคม เศรษฐกิจ และการเมืองโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านและมีความผันผวน ด้วยสงคราม การก่อการร้าย การอพยพ ระเบียบการเมืองใหม่ การใช้เครื่องจักรอัตโนมัติแทนแรงงาน ภาวะโลกร้อน และอีกหลายปัจจัย กลายเป็นความกดดัน ความขัดแย้ง ความกลัว ความไม่เข้าใจ ที่ส่งผลต่อแนวคิดและพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้
Trendwatching บอกว่าเทรนด์นี้จะทำให้เกิดเกิดผู้บริโภค 2 กลุ่ม หนึ่งคือ New Global Citizen หรือพลเมืองโลกใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับการเปิดรับความแตกต่างหลากหลายและการเชื่อมโยงกันของโลก สองคือ Nation Nurturers หรือผู้นิยมความเป็นชาตินิยม ที่อุ่นใจเมื่อได้อยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมและคนบ้านเดียวกัน
เทรนด์มาแบบนี้ ปีนี้ปีหน้าคุณเลยจะได้เห็นแบรนด์ต่างๆ หันมาสร้างความหมายใหม่ให้กับแบรนด์ตัวเอง ทั้งในรูปแบบ campaign marketing และ content marketing ในลักษณะที่ช่วยสร้างความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลกมากขึ้น โดยจะมีเนื้อหา 2 แบบหลักๆ คือแบบที่เน้นเรื่องความหลากหลายทางสังคมและวัฒนธรรม และแบบที่ให้ความสำคัญกับเอกลักษณ์ของท้องถิ่นหรือความเฉพาะตัวของกลุ่มคนที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
- Momondo เว็บไซต์ให้บริการเกี่วกับท่องเที่ยวของเดนมาร์ก ชูประเด็นสังคมที่มีความหลากหลาย ด้วยการทำคลิปโฆษณา ‘The DNA Journey’ เอาอาสาสมัครมาเล่าเรื่องราวความเป็นชาติของตัวเองแล้วตรวจ DNA คลิปนี้บอกแมสเสจสำคัญว่า คุณมีความเหมือนกับคนอื่นบนโลกมากกว่าความต่างอย่างที่คุณคิด คลิปเพิ่งถูกปล่อยมากลางปีนี้ ทำยอดวิวไปแล้วถึง 14 ล้านวิว อยากรู้ว่าเป็นยังไงลองคลิกดูได้ที่นี่
- SABMiller บริษัทผู้ผลิตเบียร์เก่าแก่ ทำเคมเปญรณรงค์ให้คนเห็นความสำคัญของสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์ในอเมซอน ในช่วงเทศกาล San JuanCanival เดือนมีนาคมที่ผ่านมา ที่เปรู ด้วยการเปลี่ยนฉลากเบียร์ San Juan เกือบทั้งหมดที่ปกติมีสัญลักษณ์ภาพจำเป็นรูปเสือจากัวร์ ให้เป็นรูปสัตว์บ้านๆ ทั่วไป เช่น หมู หมา วัว ไก่ โดยในจำนวนทั้งหมดนั้นมีขวดเพียง 6,000 ใบที่ยังมีฉลากรูปเสือจากัวร์อยู่ เท่ากับจำนวนเสือจากัวร์ที่เหลืออยู่ในอเมซอนจริง เคมเปญนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการเรียกร้องให้รัฐบาลเปรูแสดงจุดยืนอย่างเป็นทางการในการปกป้องสัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์[5]
- Starbuck ทำ podcast ชื่อ Upstanders[6] ปล่อยออกมาช่วงเดือนกันยายนนี้ รับกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีที่ผ่านมา podcast นี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับคนตัวเล็กๆ ทั่วอเมริกาที่สร้างการเปลี่ยนแปลงให้กับชุมชนที่พวกเขาอยู่ โดยหวังว่าจะสร้างความรู้สึกป็นอันหนึ่งอันเดียวกันให้เกิดขึ้น
3. Incognito Individual – ขอสงวนนาม
Trendwatching นิยามพฤติกรรมผู้บริโภคยุคนี้ว่าเป็นยุค ‘Post-Demographic Consumerism’ ที่นักการตลาดต้องโยนความคิดเดิมๆ เกี่ยวกับโครงสร้างประชากรและพฤติกรรมผู้บริโภคทิ้งลงถังไปได้เลย เพราะผู้บริโภคมีความซับซ้อนมากขึ้น คนคนนึงมีพฤติกรรมและความต้องการที่ซับซ้อนและข้ามกันไปมา จะมาเจาะผู้บริโภคเป็นกลุ่มตามเพศ อายุ รายได้ อะไรพวกนั้นไม่ได้แล้ว ต้องเจาะกันเป็นคนๆ ไปเลย
เทคโนโลยีใหม่ๆ ทั้งการออกแบบ Algorithms และการทำ Big data ทำให้การเจาะความต้องการและตอบสนองผู้บริโภคได้เป็นรายบุคคลไม่ใช่เรื่องยากอะไร ลองนึกถึง Spotify ที่จัด playlist ให้คนเป็นล้านๆ ได้ไม่ซ้ำกัน facebook ที่คัดกรองหน้าฟีดเฉพาะให้แต่ละคน หรือ google ที่บอกทางกลับบ้านให้อัตโนมัติโดยยังไม่ได้ถาม
สิ่งเหล่านี้อาจทำให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่ด้านกลับของมันคือความรู้สึกถูกจองจำด้วยข้อมูลของตัวเอง ขาดทางเลือก รู้สึกขาดอิสระในการแสดงความเห็นเพราะกลัวถูกตัดสินความคิดจากตัวตน กลัวโดนขุดคุ้นหรือเกรียนใส่ บางคนอาจพาลรู้สึกเหมือนถูกเลือกปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา เป็นช่องให้ธุรกิจที่เห็นโอกาสเข้ามาตอบโจทย์ เช่น
- interviewing.io [7] แพลตฟอร์มในอเมริกา สำหรับวิศวกรที่อยากลองฝึกการสัมภาษณ์งานเชิงเทคนิคกับบริษัทชั้นนำจริงๆ โดยไม่ต้องเปิดเผยตัวตน ไม่ต้องส่งประวัติส่งรีซูเม่อะไรให้ดูก่อน ในการใช้งานเสียงสัมภาษณ์จะถูกดัดแปลงให้ไม่สามารถระบุตัวตนระบุเพศได้ เพื่อลดอคติลง ซึ่งถ้าผลการฝึกดี ก็มีโอกาสถูกเรียกสัมภาษณ์ต่อกับบริษัทนั้นๆ ซึ่งผู้ถูกสัมภาษณ์เลือกที่จะเปิดเผยตัวตนได้ในภายหลัง
- Candid แอพพลิเคชั่นที่ช่วยตัดปัญหาการเจอเกรียนและความไม่เป็นอิสระในการแสดงความเห็นในโลกออนไลน์ ด้วยการใช้ตัวตนนิรนาม และมี Algorithms ช่วยกรองข้อความเกรียนๆ หรือข่มขู่ออกไป ซึ่งในปี 2016 นี้ Yahoo เองก็ปล่อย Algorithms คล้ายๆ กันที่ช่วยระบุข้อความที่มีลักษณะละเมิดในคอมเมนต์ออนไลน์เพื่อช่วยลดการเกรียนออกมาเช่นกัน
4. Capacity Capture – แค่นี้ไม่พอ ทำให้ดีกว่าเดิมสิ
เทรนด์แม่ Better Business หรือการทำธุรกิจที่ ‘ดี’ ยิงยาวมาแล้วซักพัก บวกเข้ากับเทรนด์ Sharing Economy ที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า กลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ว่าธุรกิจทั้งหลายจะต้องมีความยั่งยืนและดีกับสังคมสิ่งแวดล้อมเป็นพื้นฐาน
ตอนนี้ธุรกิจและองค์กรต่างๆ จึงต้องก้าวไปข้างหน้าล้ำกว่าผู้บริโภคอีกขั้น แค่ทำดีตามมาตรฐานแบบเดิมๆ มันไม่พออีกต่อไป ต้องมองหาวิธีการใหม่ๆ ด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ มาจับใจผู้บริโภคที่ใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อม เช่น
- Nissan ออกแบบระบบการใช้พลังงานใหม่ ให้ผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้ารุ่น Nissan Leaf และ e-NV200 ในประเทศอังกฤษ ขายพลังงานไฟฟ้าจากรถกลับมาที่บริษัทผลิตพลังงานได้ถ้าไม่ได้ใช้ [8]
- Banco De Alimentos หรือธนาคารอาหารในเมืองเซาโปโล หน่วยงานไม่แสวงหาผลกำไรที่รับบริจาคอาหารเพื่อนำไปแจกจ่ายให้คนที่ต้องการ ออกแคมเปญ Reverse Delivery ร่วมมือกับธุรกิจบริการส่งอาหารในเมือง ให้คนที่ใช้บริการสั่งอาหารเลือกบริจาคอาหารเข้าธนาคารได้ผ่านรถที่มาส่งอาหาร จะได้ไม่เสียเที่ยวตีรถเปล่ากลับ[9]
5. Big Brother Brands – AI กำลังจับตาดูคุณอยู่
เทรนด์สุดท้ายหนีไม่พ้นเรื่องเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า ในปี 2017 เทคโนโลยีล้ำสมัยที่ใช้ในชีวิตประจำวันที่ให้ความสะดวกสบาย ราบรื่น ตอบโจทย์ จะมีความพีคกว่าเดิม เทคโนโลยีอัจฉริยะจะกลายเป็นเหมือน Big Brother ในนวนิยายเรื่อง 1984 ที่คอยจ้องมองเราตลอดเวลา แต่แทนที่จะควบคุมพฤติกรรมแบบในนิยาย มันจะคอยตอบสนองความต้องการที่เราอยากได้แบบแทบไม่ต้องขยับตัว
ใต้เทรนด์นี้มี 2 เทรนด์ย่อยที่กำลังมา หนึ่งคือ เทรนด์การใช้เสียงสั่งงาน และ 2 คือ การใช้งานผู้ช่วย AI ในชีวิตประจำวันที่ตอบสนองได้อย่างทันทีทันใด ตอนนี้แบรนด์ใหญ่ๆ ได้เริ่มผลิตอุปกรณ์อัจฉริยะใหม่ๆ ออกมา ซึ่งในอนาคตจะยิ่งสามารถใช้งานได้หลากหลายมากขึ้นอีก จากการวางเปิดให้นักพัฒนาแอพลิเคชั่นทั้งหลายเข้ามาร่วมพัฒนา เช่น
- Google Home[10] ผู้ช่วยอัจฉริยะหน้าตาเรียบง่ายไว้ตั้งในบ้าน ที่สั่งงานได้ด้วยเสียง เชื่อมต่อกับบัญชี Google ของคุณ ต่อไปนี้จะรับส่งอีเมล อัพเดทปฏิทิน ไฟล์ หรือรูปถ่าย ตรวจสอบสภาพอากาศ การจราจร หรืออยากรู้ผลการแข่งกีฬา ก็แค่พูดออกมาเท่านั้น Google Home จะจัดให้
- Samsung Viv[11] เป็น AI ผู้ช่วยสั่งงานด้วยเสียงที่มีเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ซึ่งซัมซุงได้ซื้อเทคโนโลยีนี้มาจาก Viv ผู้ผลิต Siri ของ Apple เจ้าเทคโนโลยีของ Viv นี้รับคำสั่งจากเสียงมนุษย์ได้ดีขึ้น แต่ที่ช็อกกว่านั้นคือผู้ผลิตอ้างว่า Viv สามารถเรียนรู้คำสั่งใหม่ๆ ได้ด้วยตัวเอง เรียกว่าเขียนโค้ดสั่งตัวเองใหม่ก็ว่าได้ ทำให้มันไร้ข้อจำกัดกว่าเดิม
ทั้งหมดนี้คือตัวอย่างเทรนด์ผู้บริโภคในปีหน้า (2017) ที่เราคงจะได้เห็นการปรับตัวของธุรกิจต่างๆ ในเร็วๆ นี้ บางอย่างอาจดูล้ำและยากที่ผู้ประกอบการเล็กๆ จะเกาะกระแส แต่สิ่งที่น่าสนใจในการติดตามเทรนด์พวกนี้ก็คือการได้เห็นแนวคิดวิธีการมองเปลี่ยนแปลงมาปรับให้เป็นนวัตกรรมหรือวิธีการตอบสนองผู้บริโภคแบบใหม่ๆ
ไม่ว่าวิธีการนั้นจะยากหรือง่ายอย่างไร โอกาสก็เป็นของผู้ที่มองเห็นเสมอ
อ้างอิงข้อมูลจาก
[1]Virtual Reality (VR) – ประสบการณ์ดิจิทัลเสมือนจริง ที่ทุกอย่างถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมด
Augmented Reality (AR) – ประสบการณ์ดิจิทัลเสมือนจริง ที่สร้างภาพวัตถุเสมือนจริงใส่ลงไปในสภาพแวดล้อมในโลกจริง
Mixed Reality (MR) – ประสบการณ์ดิจิทัลเสมือนจริง ในสภาพแวดล้อมโลกจริง ที่เราเข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับมันได้อย่างเต็มที่ เทคโนโลยีกำลังถูกพัฒนาให้มีราคาถูกลงและนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ในอนาคตอันใกล้ (ที่มา: www.wired.com)
[7] interviewing.io
[10] madeby.google.com/home/
[11] viv.ai