เหตุเพลิงไหม้โรงงานไทรแองเกิลเชิร์ตเวสต์ (Triangle Shirtwaist Factory Fire) ถือได้ว่าเป็นเหตุเพลิงไหม้ที่ร้ายแรงมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ในประวัติศาสตร์เหตุเพลิงไหม้ในนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา รองมาจากเหตุไฟไหม้โรงละครบรู๊คลินในปีค.ศ.1876 ที่คร่าชีวิตคนไปราว 300 คน แต่เหตุเพลิงไหม้โรงงานไทรแองเกิลเชิร์ตเวสต์นี้มีประเด็นที่สำคัญที่ทำให้คนงาน 146 คนต้องเสียชีวิตอย่างทรมาน เพราะมันเกิดจากสภาพอาคารที่ย่ำแย่ และไม่มีระบบความปลอดภัยใดๆ รวมไปถึงนโยบายของผู้บริหารที่เห็นพนักงานเป็นเพียงทาสเบี้ยจนทำให้พวกเขาต้องถูกไฟคลอกตาย ณ ที่ทำงานอันอดสูแห่งนั้น
โศกนาฏกรรมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์อุตสาหกรรมของสหรัฐอเมริกา ที่นำไปสู่การพัฒนากฎหมายและระเบียบข้อบังคับต่างๆ ด้านความปลอดภัยของคนงานในโรงงาน จนผลักดันกลายมาเป็นกฎหมายสากลที่ใช้กันในปัจจุบัน
บริษัทไทรแองเกิลเชิร์ตเวสต์ ตั้งอยู่ที่อาคาร Asch ใจกลางเมืองในเขตแมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา มันเป็นอาคารสูงสิบชั้นที่เป็นโรงงานผลิตเสื้อผ้าสำหรับสตรีโดยเฉพาะ มีแรงงานมากกว่า 500 คน และมีเจ้าของบริษัทนามว่า แมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริส ซึ่งอาศัยอยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคาร
สภาพของโรงงานนั้นเต็มไปด้วยพื้นที่คับแคบ เรียงรายไปด้วยพื้นที่สำหรับทำงานที่เต็มไปด้วยแรงงานอพยพยากจนที่เบียดเสียด แรงงานส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุไม่ถึง 30 ปี และพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แม้ในตึกจะมีลิฟต์ถึง 4 ตัวที่สามารถเข้าถึงพื้นที่โรงงานได้ แต่กลับมีลิฟต์เพียงตัวเดียวเท่านั้นที่ใช้งานได้ และมันก็สามารถบรรจุคนได้เพียงครั้งละ 12 คนเท่านั้น แน่นอนว่าทุกตึกต้องมีบันไดหนีไฟตามกฎระเบียบ และอาคารแห่งนี้มีบันไดหนีไฟถึงสองฝั่งด้วยกันซึ่งเชื่อมต่อลงไปยังถนนแต่ละฝั่งของตึก เพียงแต่ว่าทางหนีไฟฝั่งหนึ่งถูกล็อกจากด้านนอกตามนโยบายของเจ้าของด้วยเหตุผลเพื่อป้องกันคนงานขโมยของออกไปจากตึก และบันไดหนีไฟอีกฝั่งก็กลับเป็นประตูที่สามารถเปิดเข้าได้จากด้านนอกเท่านั้น ด้านในไม่สามารถเปิดออกไปข้างนอกได้ ด้วยเหตุผลเช่นเดียวกัน อีกทั้งบันไดของมันก็ไม่แข็งแรง มันสามารถรองรับน้ำหนักของผู้หญิงได้เพียงสองสามคนต่อครั้งเท่านั้น
อันที่จริงแมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริส ชายสองคนนี้ก็เป็นคนประเภทที่ลูกน้องไม่มีวันชอบ สังคมไม่มีวันเชื่อ แรงงานของพวกเขาได้รับเงินเพียง 15 ดอลลาร์สหรัฐต่อสัปดาห์ แม้จะทำงานหนักถึงวันละ 12 ชั่วโมงทุกวันก็ตาม พวกเขายังเป็นหนึ่งในเจ้าของบริษัทไม่กี่รายที่ต่อต้านการประท้วงของสหภาพแรงงานสตรีในปี ค.ศ.1909 ที่พวกเธอเรียกร้องค่าจ้างที่สูงขึ้นและชั่วโมงทำงานที่สั้นลง ทั้ง 2 คนกลับแก้ปัญหานี้ด้วยการยัดเงินตำรวจที่เลี้ยงไว้ให้ไล่กักขังผู้หญิงที่ประท้วง อีกทั้งยังจ่ายเงินให้นักการเมืองให้เพิกเฉยต่อสิ่งเหล่านี้
ทั้ง แมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริส เจ้าของบริษัทต่างมีประวัติกับเหตุไฟไหม้ในโรงงานต่างๆ ของตนเองจนน่าสงสัยมาหลายครั้งแล้ว โรงงานไทรแองเกิลเชิร์ตเวสต์เองเคยถูกไฟไหม้ 2 ครั้งในปีค.ศ.1902 ในขณะที่โรงงานไดมอนด์ เวสต์ ซึ่งพวกเขาก็เป็นเจ้าของเช่นกัน ถูกไฟไหม้ 2 ครั้งในปีค.ศ.1907 และปีค.ศ.1910 และทุกเหตุการณ์ที่เกิด มันทำให้ แมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริส ต่างได้รับเงินก้อนเป็นจำนวนมากจากประกันอัคคีภัยชุดใหญ่หลายฉบับที่พวกเขากว้านซื้อเอาไว้ก่อนเหตุเพลิงไหม้ มันทำให้ดูเหมือนว่าพวกเขาเหล่านั้นต่างจงใจจุดไฟสถานที่ของตนเองเพื่อรับเงินจนร่ำรวย
และด้วยนิสัยแบบนี้จึงทำให้เขาต่างละเลยความปลอดภัยด้านอัคคีภัยจนไม่สามารถรับมือกับมันได้หากเกิดเหตุการณ์จริง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิเสธที่จะติดตั้งระบบสปริงเกลอร์ และใช้มาตรการด้านความปลอดภัยอื่นๆ มาควบคุม เพราะเขาต่างคิดว่ามันจะไหม้ได้ยากในกรณีที่พวกเขาต้องการเผาโรงงานตนเองอีกครั้ง
และฝันร้ายที่แมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริสไม่เคยนึกมาก่อนในชีวิตก็มาถึงในบ่ายวันเสาร์ที่ 25 มีนาคม ค.ศ.1911 เมื่อในตัวโรงงานไทรแองเกิลเชิร์ตเวสต์ได้เกิดเพลิงไหม้บริเวณถังขยะบนชั้น 8 และครั้งนี้ไม่ใช่เพลิงไหม้จากความตั้งใจของเจ้าของโรงงาน ผู้จัดการโรงงานได้วิ่งไปเปิดท่อน้ำดับเพลิง แต่ท่อมันกลับเน่า สภาพใช้งานไม่ได้ และวาล์วก็เต็มไปด้วยสนิม บิดทางไหนน้ำก็ไม่ไหลออกมา
ความตื่นตระหนกจึงเกิดขึ้นเมื่อไฟเริ่มลุกลามอย่างรวดเร็วและไม่มีอะไรมาขวางมัน ผ้ากองบนพื้นมากมายหลายชั้นกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดีของไฟ คนงานต่างพยายามหนีไปทุกทางออก ลิฟต์ที่ใช้ได้เพียงตัวเดียวพังสนิทหลังจากการแห่กันใช้หนีเพียง 4 ครั้ง ส่วนคนงานที่หนีลงบันไดหนีไฟทั้ง 2 ฝั่ง ต่างถูกกักขังอยู่ข้างในและถูกเผาทั้งเป็นจนเสียชีวิต แรงงานผู้หญิงมากมายที่เริ่มหาทางออกไม่ได้ มองอะไรไม่เห็นนอกจากควันไฟที่ลุกโหมกระหน่ำ ต่างกระโดดลงมาจากหน้าต่างจนเสียชีวิต สร้างปัญหาให้กับนักผจญเพลิงที่ท่อดับเพลิงของพวกเขาต่างถูกทับโดยร่างที่ร่วงหล่นลงมาด้วยความหมดหวัง นอกจากนี้บันไดของนักดับเพลิงยังยืดได้สูงเพียงชั้นที่ 7 เท่านั้น
แมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริส อยู่ที่ชั้นบนสุดของอาคารพร้อมกับคนงานบางส่วน เมื่อเห็นเหตุเพลิงไหม้ พวกเขารู้ว่าไม่สามารถลงไปได้อย่างแน่นอน จึงหลบหนีออกไปโดยการปีนขึ้นไปบนหลังคาและกระโดดไปยังอาคารที่อยู่ติดกันได้สำเร็จ ถึงแม้ไฟจะดับภายในครึ่งชั่วโมง แต่กลับมีผู้เสียชีวิตกว่า 146 ราย จนกลายเป็นเหตุเพลิงไหม้ที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์เหตุเพลิงไหม้ในนครนิวยอร์ก สุดท้ายแล้วจากการสอบสวนก็พบว่าเหตุเพลิงไหม้เกิดจากบุหรี่ที่ดับไม่สนิทแต่กลับโยนทิ้งลงไปในถังขยะ
วันที่ 5 เมษายน ค.ศ.1911 สหภาพแรงงานรวมตัวกันเดินขบวนเพื่อประท้วงแมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริสผู้ที่ละเลยความปลอดภัยทุกด้านจนทำให้มีผู้เสียชีวิตมากมายจากเกิดเพลิงไหม้ มีผู้เข้าร่วมขบวนในครั้งนั้นกว่า 80,000 คน แม้จะมีหลักฐานที่ชัดเจนว่าเจ้าของและผู้บริหารต่างมีความประมาทเลินเล่อจนสร้างโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ แต่ศาลกลับล้มเหลวในการลงโทษพวกเขาอยางที่สมควรจะเป็น หลังจากการพิจารณาคดีกว่า 3 สัปดาห์ในเดือนธันวาคม ค.ศ.1911 รวบรวมคำให้การจากพยานกว่า 150 คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ผู้รอดชีวิตหวุดหวิดหลายสิบคน รวมทั้งตัวแมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริสเอง ที่เล่าถึงการหลบหนีแสนใจแคบของพวกเขา ปากคำจากนักผจญเพลิง เจ้าหน้าที่ตำรวจ และวิศวกรอาคารที่ได้เพิ่มรายละเอียดเกี่ยวกับแผนผังโรงงานและความเลวร้ายในการบริหารความปลอดภัยจนเกิดเหตุอันน่าสยดสยอง สุดท้ายแล้วแมกซ์ แบลงค์ และ ไอแซค แฮร์ริส ก็ถูกสั่งให้ชดใช้เพียง 75 ดอลลาร์ ต่อหนึ่งครอบครัวของเหยื่อผู้เสียชีวิต
ถึงแม้กฎหมายร้อยกว่าปีที่แล้วในช่วงเวลานั้นจะลงโทษผู้ประมาทไม่ได้ แต่เรื่องราวของเหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ได้นำไปสู่การพัฒนาชุดกฎหมายและข้อบังคับมากมายที่ถูกสร้างมาเพื่อปกป้องความปลอดภัยของคนงานให้ดีขึ้น
คณะกรรมาธิการโดยสภานิติบัญญัติแห่งนิวยอร์กถูกจัดตั้งขึ้นทันทีหลังจากเหตุการณ์นี้ พวกเขาต่างไปตรวจสอบสภาพความปลอดภัยในโรงงานทุกแห่งในนครนิวยอร์ก ตรวจดูสภาพความเป็นอยู่ของแรงงานในแต่ละที่ ทำประชาพิจารณ์ จนนำไปสู่กฎหมายด้านความปลอดภัยและสุขภาพมากกว่า 30 ฉบับ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายอาคาร การออกแบบแปลนโรงงาน ระเบียบข้อบังคับเพื่อความปลอดภัย การซักซ้อมอัคคีภัยที่ต้องซ้อมเป็นประจำ รวมไปถึงการห้ามใช้แรงงานเด็ก
อ้างอิงข้อมูลจาก