การค้นพบครั้งนี้เหมือนอย่างกับมนุษย์นั่งไทม์แมชชีนไปดูเรื่องราวที่เกิดขึ้นเลย เมื่อนักวิทยาศาสตร์ในเบลเยียมชี้ว่า สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้ไดโนเสาร์และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ต้องสูญพันธุ์ไปจากโลกคือ ‘ฝุ่น’ ซึ่งเกิดมาจากหลังการพุ่งชนโลกของดาวเคราะห์น้อย จนยุคครีเทเซียสต้องถึงจุดอวสาน
นักวิทยาศาสตร์จากหอดูดาวของเบลเยียม ตัดสินใจที่จะลองหาคำตอบเรื่องนี้ด้วยวิธีการสร้างภาพจำลองขึ้นมา เพื่อดูสภาพแวดล้อมขณะนั้น หลังจากที่ดาวเคราะห์ฯ พุ่งชนโลกเมื่อ 66 ล้านปีก่อน ซึ่งดาวเคราะห์ฯ ที่ชนโลกนั้นได้สร้างหุบอุกกาบาตซิกชูลับ (Chicxulub Crater) ขึ้นมา และในตอนนี้มันถูกฝังอยู่ใต้คาบสมุทรยูกาตันใกล้กับชายฝั่งเม็กซิโก
อย่างไรก็ดี หลังจากที่นักวิจัยพยายามหาคำตอบ พวกเขาพบว่าผลจากพุ่งชนดังกล่าว ก่อให้เกิดเมฆก๊าซปกคลุมชั้นบรรยากาศของโลก ควบคู่ไปกับฝุ่นละอองขนาดเล็กที่มีองค์ประกอบของผลึกซิลิกาหรือฝุ่นหิน ซึ่งถ้าสูดดมมากๆ จะส่งผลต่อระบบทางเดินหายใจ นอกจากนี้ พวกไดโนเสาร์ยังต้องพบเจอกับภัยพิบัติ เช่น ภูเขาไฟระเบิด ไฟป่า ทั่วทุกพื้นที่ของโลกอีก ซึ่งยิ่งตอกย้ำวิกฤตสภาพอากาศเข้าไปอีก
ไม่เพียงเท่านั้น ถ้าใครเคยดูสารคดีเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ครั้งนี้ อาจจะทราบดีว่า ไดโนเสาร์จำเป็นต้องอยู่กับความมืดถึง 15 ปี ก่อนที่พวกมันจะล้มตายกันหมด เนื่องจากฝุ่นและควันปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ จึงสรุปได้ว่า สาเหตุใหญ่ๆ ที่ทำให้ไดโนเสาร์สูญพันธุ์เกิดจากฝุ่นที่ปกคลุมชั้นบรรยากาศโลกในระยะเวลาที่ยาวนาน จนสิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกต้องทุกข์ทรมานจากการขาดแสงแดด แหล่งอาหาร และสภาพอากาศที่สะอาด
อ้างอิงจาก