ความรักของเราเกิดขึ้นเมื่อทศวรรษที่แล้ว
เมื่อ 10 ปีก่อน เราอาจกำลังถามตัวเองว่า อนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าของเราจะเป็นยังไง และวันนี้คำตอบของคำถามที่เคยสงสัยก็ได้ประจักษ์ชัดแล้วว่า แม้จะผ่านมาถึง 10 ปี ทว่าเรายังคงเป็นลัฟวี่ที่รัก ‘Red Velvet’ จนสุดหัวใจอยู่เสมอ
ในวันที่ 1 สิงหาคม 2014 ท่ามกลางอากาศร้อนระอุของเกาหลี มีเหล่าหญิงสาวที่พกความฝันของตัวเองก้าวขึ้นเวที Music Bank เพื่อประกาศก้องให้ทั้งโลกได้รับรู้ว่า วันนี้พวกเธอได้เริ่มก้าวเดินในเส้นทางของไอดอลอย่างเป็นทางการ ภายใต้ชื่อ Red Velvet และในวินาทีนั้นเอง จากอากาศที่เคยร้อนผ่าวมากก็กลับ Happiness ขึ้นมาได้ เพราะรอยยิ้มที่เปล่งประกายของ สาวๆ
และราวกับต้องมนต์ เพราะเพียงพริบตาเดียว วันเวลาก็ล่วงเลยมาถึงหนึ่งทศวรรษแล้วที่ Red Velvet ราชินีฤดูร้อน ราชวงศ์เค้กแดงของพวกเราเดบิวต์มา จากเดิมที่เคยฉลองเดบิวต์ครบรอบ 300 วัน เดบิวต์ครบรอบ 500 วัน ในวันนี้เราได้ฉลองครบรอบปีที่ 10 ไปด้วยกันแล้ว
10 ปี เป็นตัวเลขที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่าย สำหรับวงไอดอลที่ยังคงประสบความสำเร็จ และได้อยู่ฉลองกับแฟนคลับอีกนับไม่ถ้วน แต่ในวันนี้เราสามารถเอ่ยได้อย่างเต็มเสียงและภาคภูมิว่า Red Velvet เป็นหนึ่งวงที่ทำได้
แม้เราจะรู้ดีแก่ใจว่าทุกๆ เส้นทางที่น้องเค้กก้าวเดินนั้นไม่ได้ราบเรียบสวยงามดั่งในนิยาย แต่ประปรายไปด้วยขวากหนามและอุปสรรค ทว่าสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยก็คือ แม้ช่วงเวลาตลอด 10 ปีนี้จะยากขนาดไหน แต่ Red Velvet ก็ยังคงเฉิดฉายสง่างามได้ด้วยตัวของพวกเขา พร้อมกับมีลัฟวี่คอยเดินเคียงข้างไปด้วยกันเสมอ
ไม่ว่าจะสุขหรือเศร้าตลอด 10 ปีที่ผ่านมา น้องเค้กและลัฟวี่ต่างมีกันและกันมาตลอด ในวันนี้ที่ลัฟวี่ยิ้มได้ ก็เพราะน้องเค้กยิ้มได้ ดั่งประโยคที่ว่า “รอยยิ้มของ Red Velvet ก็คือรอยยิ้มของ ReVeluv”
จากนี้เรากำลังจะก้าวเข้าสู่ทศวรรษใหม่ไปด้วยกัน ขอภาวนาให้คำว่านิรันดร์มีจริงกับพวกเราเสมอ โปรดอย่าได้กังขาในความโด่งดังของตัวเอง เพราะ Red Velvet คู่ควรกับทุกความรักที่ลัฟวี่มอบให้เสมอ ในโอกาสที่แสนสง่างามนี้ พวกเราชาว The MATTER ที่เป็นหนึ่งในลัฟวี่ก็เลยขอเก็บรวบรวมเส้นทางตลอด 10 ปีของวง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจารึกประวัติศาสตร์ความสำเร็จนี้ไว้พร้อมๆ กับทุกคน
ผ่านมาแล้ว 10 ปี น้องเค้กออกมาแล้วกี่อัลบั้ม กี่เพลง?
ตลอดระยะเวลา 10 ปี ‘Red Velvet’ มีผลงานเพลงภายใต้ชื่อดังกล่าว 22 อัลบั้ม และเพลงทั้งหมด 159 เพลง เริ่มมาตั้งแต่เพลงเดบิวต์อย่าง Happiness กับการเปิดตัวสมาชิก 4 คน ประกอบด้วย ไอรีน (เบจูฮยอน), ซึลกิ (คังซึลกิ), เวนดี้ (ซนซึงวาน) และ จอย (พัคซูยอง) ในวันที่ 1 สิงหาคม ปี 2014 และกลับมาอีกครั้งในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน กับเพลง Be Natural ก่อนที่ในต้นปี 2015 จะกลับมาพร้อมสมาชิกคนที่ 5 อย่าง เยริ (คิมเยริม) ที่ช่วยเติมเต็มวงให้สมบูรณ์ กับมินิอัลบั้มแรก Ice Cream Cake และคัมแบ็กอีกครั้งในไตรมาสที่ 3 ของปีเดียวกันด้วยเพลง Dumb Dumb กับ The Red ซึ่งเป็นอัลบั้มเต็มแรกของ Red Velvet
ในปี 2016 เหล่าหญิงสาวทั้ง 5 คน ได้คัมแบ็กด้วย 2 มินิอัลบั้มอย่าง The Velvet กับเพลง One Of These Nights ในช่วงต้นปี และปิดท้ายปีนั้นด้วยเพลง Russian Roulette ในมินิอัลบั้มชื่อเดียวกัน ต่อมาในช่วงต้นปี 2017 น้องเค้กกลับมาพร้อมมินิอัลบั้มและเพลงชื่อเดียวกันอย่าง Rookie และคัมแบ็กในช่วงหน้าร้อนด้วย The Red Summer ซัมเมอร์มินิอัลบั้มกับเพลง Red Flavor ที่เรียกได้ว่าดังพลุแตกจนฉุดไม่อยู่ ก่อนจะส่งท้ายปีด้วยอัลบั้มเต็มที่ 2 อย่าง Perfect Velvet พร้อมเพลง Peek-A-Boo
เข้าปี 2018 น้องเค้กเปิดปีด้วยการสานต่ออัลบั้มเต็มที่ 2 กับเพลง Bad Boy พร้อมอัลบั้มรีแพ็คเกจ The Perfect Red Velvet ก่อนที่ในช่วงหน้าร้อนนี้จะเริ่มเดบิวต์ที่ญี่ปุ่นพร้อมมินิอัลบั้มและเพลง #Cookie Jar ต่อด้วยซัมเมอร์อัลบั้มอีกครั้งกับ Summer Magic ที่มากับเพลง Power Up อย่างสดใส และปิดปีด้วย RBB (Really Bad Boy) ในมินิอัลบั้ม RBB
มาถึงปี 2019 น้องเค้กกลับมาอีกครั้งด้วยมินิอัลบั้มญี่ปุ่น Sappy ในช่วงต้นปี ก่อนที่จะกลับไปคัมแบ็กที่เกาหลีด้วยมินิอัลบั้มในชุด ‘The Reve Festival’ 3 มินิอัลบั้มประกอบไปด้วย The Reve Festival: Day 1, The Reve Festival: Day 2 และ The ReVe Festival Finale กับเพลงโปรโมตอย่าง Zimzalabim, Umpah Umpah และ Psycho ที่กินช่วงเวลา 3 ไตรมาส
หลังจากนั้นในปี 2020 สมาชิก Red Velvet เองก็เริ่มแยกย้ายไปทำกิจกรรมเดี่ยว ทั้งการแสดง ร้องเพลงประกอบละคร ถ่ายแบบ หรือออกเพลงโซโล่ของตัวเอง รวมไปถึงยูนิตย่อยแรกในปี 2020 ของไอรีนและซึลกิ กับเพลง Monster
และแล้วปี 2021 น้องเค้กก็กลับมาทำกิจกรรมวงร่วมกันอีกครั้ง พร้อมมินิอัลบั้ม Queendom ก่อนที่ในปี 2022 พวกเธอจะได้ออกอัลบั้ม Bloom อัลบั้มเต็มภาษาญี่ปุ่นที่มีเพลงไตเติ้ลคือ WILDSIDE และได้คัมแบ็กในเกาหลีด้วย 2 มินิอัลบั้มเซต The Reve Festival 2022 กับเพลงโปรโมต Feel My Rhythm และ Birthday
จากไทม์ไลน์ที่ไล่เรียงมาจะเห็นได้ว่า เป็นเวลาถึง 4 ปีเลยทีเดียว นับตั้งแต่ปี 2019-2022 ที่ Red Velvet ไม่ได้คัมแบ็กที่เกาหลีด้วยอัลบั้มเต็มอีกเลย… จนถึงปี 2023 คำเรียกร้องและการรอคอยของเหล่าลัฟวี่ก็สิ้นสุดลงเสียที เพราะน้องเค้กได้กลับมาพร้อมอัลบั้มเต็มอีกครั้งในชื่อ Chill Kill
กระทั่งในปี 2024 นี้ Red Velvet ได้กลับมาพร้อมเพลงโปรโมตอย่าง Cosmic ในมินิอัลบั้มชื่อเดียวกันในช่วงหน้าร้อนที่ผ่านมา รวมถึงวันนี้ (1 สิงหาคม 2024) ชาวลัฟวี่ก็จะได้ฟังเพลงใหม่อย่าง Sweet Dreams ที่ถูกเพิ่มเข้ามาในมินิอัลบั้ม Cosmic (Cosmie Ver.) เพื่อเป็นของขวัญพิเศษสำหรับวันครบรอบ 10 ปีให้ลัฟวี่ทั่วโลกด้วย
ดังนั้น หากเราย้อนดูเส้นทางตลอดระยะเวลา 10 ปี หรือ 1 ทศวรรษที่ผ่านมาของน้องเค้กแล้ว จึงพบว่า น้องเค้กมีอัลบั้มเต็ม (เกาหลี) เพียง 3 อัลบั้มเท่านั้น และมี 1 อัลบั้มเต็มญี่ปุ่น กับ 2 อัลบั้ม Re-package และ 16 มินิอัลบั้ม ซึ่งแบ่งเป็น 12 มินิอัลบั้ม 2 ซัมเมอร์มินิอัลบั้ม และ 2 มินิอัลบั้มญี่ปุ่น และเมื่อนำทุกเพลงในอัลบั้ม รวมถึงเพลงเดบิวต์อย่าง Happiness เพลงประกอบละครในนามวง กระทั่งเพลงครบรอบ 10 ปีอย่าง Sweet Dreams มารวมกันแล้ว เหล่าลัฟวี่สามารถฟังเพลงของราชวงศ์เค้กแดงยาวๆ ไปได้ถึง 9 ชั่วโมง 16 นาที 47 วินาทีเลยทีเดียว
ฤดูกาลของราชินี
ถ้าพูดถึงราชินีเค้กแดงแล้วไม่พูดถึงงานศิลปะที่อยู่บนอัลบั้มคงไม่ได้ เพราะในการคัมแบ็กหรือออกอัลบั้มใหม่แต่ละที หนึ่งในสิ่งที่ลัฟวี่รอคอยอยู่เสมอ คงหนีไม่พ้นภาพปกอัลบั้มที่มีอาร์ตเวิร์กสวยจับตา โทนสีอันเป็นเอกลักษณ์ที่ส่งผลต่อความรู้สึกมวลรวมของอัลบั้ม เพราะหากสังเกตจะเห็นว่าทุกอัลบั้มของน้องเค้ก จะมีกลิ่นอายของฤดูกาลต่างๆ ตามเดือนที่อัลบั้มถูกปล่อยอยู่เสมอ โดยแบ่งเป็นฤดูหนาวทั้งหมด 7 อัลบั้ม ฤดูใบไม้ผลิ 2 อัลบั้ม ฤดูร้อน 9 อัลบั้ม และฤดูใบไม้ร่วง 4 อัลบั้ม
เริ่มจาก 7 อัลบั้มในฤดูหนาวอย่าง Ice Cream Cake (2015), The Velvet (2016), Rookie (2017),The Perfect Red Velvet (2018), Sappy กับ The ReVe Festival Finale ในปี 2019 และ The ReVe Festival 2022 – Feel My Rhythm ในปี 2022 พบว่าแต่ละอัลบั้มใช้สีสันต่างกันออกไปตามคอมเซ็ปต์ ทว่าก็มีข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ มวลรวมของอัลบั้มที่ออกในฤดูหนาวมักใช้สีโทนเย็นเป็นหลัก แต่ก็อาจจะมีสีโทนร้อนเข้ามาบ้างเพื่อความสมดุลของภาพ
มาถึงช่วงซัมเมอร์ ฤดูกาลของราชินีฤดูร้อนกันบ้าง ซึ่งถ้านับจากสถิติแล้วเรียกได้ว่า ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาน้องเค้กออกอัลบั้มในให้ฤดูกาลนี้เกือบทุกปีนับตั้งแต่เดบิวต์ Happiness ในปี 2014 ไล่มาที่ The Red (2015), Russian Roulette (2016), The Red Summer (2017), 2018 กับ #Cookie Jar และ Summer Magic, The ReVe Festival: Day 2 (2019), Queendom (2021) และ Cosmic (2014) ซึ่งมวลรวมของอาร์ตเวิร์กในอัลบั้มช่วงฤดูนี้ใช้คู่สีที่มีความแตกต่าง (Contrast) ส่วนมากมักใช้สีสันจัดจ้าน แต่ก็จะมีบางอัลบั้มที่ใช้สีพาสเทล
มาถึง 2 อัลบั้มในฤดูใบไม้ผลิอย่าง The Reve Festival: Day 1 (2019) และ Bloom (2022) เหมือนเป็นกึ่งกลางระหว่างฤดูหนาวกับฤดูร้อน เพราะอาร์ตเวิร์กของอัลบั้มแม้จะไม่ได้สดใสตะโกน แต่เป็นส่วนผสมที่ลงตัวของจุดเด่นจากทั้ง 2 ฤดูก่อนหน้า ขณะที่ฤดูใบไม้ร่วง กับ 4 อัลบั้มอย่าง Perfect Velvet (2017), RBB (2018), The ReVe Festival 2022 – Birthday (2022) และ Chill Kill (2023) นั้นมากับอาร์ตเวิร์กโทนเข้มๆ และการใช้สีในเฉดค่อนไปทางดำที่แม้จะใช้คู่สีที่คอนทราสต์กันอยู่บ้าง แต่ก็ยังให้อารมณ์หม่นๆ อยู่ สิ่งนี้จึงมักสอดคล้องไปกับเรื่องราวใน MV เพลงโปรโมตประจำอัลบั้ม
แฟชั่นควีน
อย่างที่เรารู้กันว่าอัลบั้มต่างๆ ของน้องเค้กแบ่งไปตามแต่ละช่วงฤดูกาล องค์ประกอบของอัลบั้มที่สำคัญนอกจากคอนเซ็ปต์ อาร์ตเวิร์กและโทนสีแล้ว สิ่งที่ขาดไปไม่ได้เลยนั่นก็คือ ชุด (Outfits) ที่น้องเค้กสวมใส่ ชาว The MATTER ก็เลยขอรวบรวมโดยไล่เรียงไทม์ไลน์ตามอัลบั้มให้ทุกคนได้เห็นกันว่า แฟชั่นของน้องเค้กในคอนเซ็ปต์ต่างๆ ปังปุขนาดไหน เพราะแม้จะถูกครอบด้วยธีมเดียวกัน แต่คาแรกเตอร์ของเมมเบอร์แต่ละคนก็ยังชัดเจน และตะโกนออกมาผ่านเสื้อผ้าหน้าผมเลยทีเดียว
ทั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจจากการสังเกตของพวกเรายังพบว่า เอาต์ฟิตของน้องเค้กตั้งแต่เพลงเดบิวต์อย่าง Happiness ในปี 2014 จนถึงอัลบั้ม The ReVe Festival: Day 2 ในปี 2019 เต็มไปด้วยสีสันสดใสและจัดจ้าน ซึ่งหนึ่งในสีของเครื่องแต่งกายที่กระแทกตาเราอยู่ตลอดอย่างขาดไม่ได้เลยนั่นก็คือ ‘สีแดง’ นั่นเอง เรียกได้ว่าเป็นแฟชั่นที่มาพร้อมความสดใสสมวัยและสมกับเพลงที่ปล่อยออกมา
ถัดจากนั้น เอาต์ฟิตของน้องเค้กก็เริ่มลดความฉูดฉาดของสีสันลง (อาจจะด้วยคอนเซ็ปต์และการเล่าเรื่องที่โตขึ้น) แล้วแทนที่ด้วยการให้พื้นที่สีดำกับสีขาวมากขึ้น เช่น อัลบั้ม Chill Kill หรือ Cosmic ซึ่งก็ทำให้เราได้เห็นอีกหนึ่งภาพลักษณ์ของน้องเค้ก นั่นก็คือความสดใสภายใต้ความสงบและราบเรียบด้วยลุคใหม่ๆ จากชุดที่สวมใส่นั่นเอง
ดู MV แล้วนึกถึงหนังเรื่องอะไร?
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มิวสิกวิดีโอ (MV) ต่างๆ ของ Red Velvet มักถูกลัฟวี่ตีความและเชื่อมโยงกันไปเพื่อสืบหาแรงบันดาลใจ ด้วยการนำองค์ประกอบที่ปรากฏมาเทียบเคียงกับงานสร้างสรรค์อื่นๆ จนกลายเป็นจุดเด่นอีกอย่างของวงเลยก็ว่าได้ เพราะเมื่อใดก็ตามที่น้องเค้กคัมแบ็ก ก็จะมีการปะติดปะต่อสิ่งต่างๆ ที่เราพบเห็นในมิวสิกวีดิโอจากเหล่าลัฟวี่เสมอ
ในเมื่อเป็นเรื่องของการตีความและเชื่อมโยง ซึ่งผู้กำกับเองก็ไม่เคยออกมาบอกอย่างจริงๆ จังๆ ว่าแรงบันดาลใจที่แท้จริงนั้นของมิวสิกวิดีโอมาจากไหน The MATTER เลยได้ไอเดียสนุกๆ ด้วยการไปนั่งดูมิวสิกวิดีโอเพลงไตเติ้ลตั้งแต่เพลง Happiness จนถึง Cosmic แล้วลองหยิบบางซีนมาเทียบกับหนังบางเรื่องที่ ‘เรานึกถึง’ ให้ทุกคนได้ดูกัน
- MV Happiness – American Beauty (1999)
เพลงเดบิวต์กับภาพซึลกินอนอยู่ท่ามกลางดอกไม้และใบหญ้า ทำให้เรานึกไปถึงปกและฉากไอคอนิกจาก American Beauty หนังอเมริกันที่ แองเจล่า เฮย์ส (Angela Hayes) ตัวละครหลักนอนอยู่บนดอกกุหลาบจำนวนมหาศาล ซึ่งทั้ง 2 ภาพต่างให้ความรู้สึกถึงความเหนือจริงที่มีธรรมชาติเป็นองค์ประกอบหลัก
- MV Ice Cream Cake – BUtterfield 8 (1960)
การเขียนลิปสติกบนกระจกระหว่างแต่งหน้า และมีเครื่องสำอางกระจัดกระจายเต็มโต๊ะเครื่องสำอางของเวนดี้ มีความคล้ายกับ กลอเรีย แวนดรูส (Gloria Wandrous) จาก BUtterfield 8 หนังต้นทศวรรษ 60s ที่ตัวละครก็เขียนลิปสติกบนกระจกเช่นเดียวกัน ซึ่งการกระทำดังกล่าวอาจให้ความรู้สึกอิสระ เป็นตัวเอง หรือสนุกสนานในเวลาเดียว
- MV Dumb Dumb – The Wolf of Wall Street (2013)
การเฉลิมฉลองอย่างมีความสุขถึงขนาดขว้างปาสิ่งของกระจัดกระจายไปทั่ว พร้อมยังดูสนุกกันอย่างสุดเหวี่ยง อาจแสดงให้เห็นถึงความประสบความสำเร็จที่ทั้ง Red Velvet และ ผู้คนในออฟฟิศของ จอร์แดน เบลฟอร์ต (Jordan Belfort) ตัวละครที่อ้างอิงมาจากบุคคลจริงใน The Wolf of Wall Street
- MV One Of These Nights – The Craft (1996)
ฉากในมิวสิกวิดีโอเพลง One Of These Nights กับภารให้ภาพนั่งล้อมวงเทียนหลายเล่มที่ถูกจุดอยู่ตรงกลางของน้องเค้ก พร้อมพูดคุย หรือแม้กระทั่งสวดภาวนา แม้มิวสิกวิดีโอเพลงนี้จะซ่อนสัญญะเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์เรือเซวอล ขณะเดียวกันก็ทำให้เรานึกไปถึงซีนในหนัง The Craft เช่นกัน
- MV Russian Roulette – Itchy & Scratchy (1992)
ภาพเวนดี้ผลักเยริลงจากกระดานกระโดดน้ำ ไม่ต่างกับฉากที่หนูสีน้ําเงินชื่อ อิชชี่ (Itchy) ผลักแมวดํา สแครชชี (Scratchy) ลงสระน้ำ ซึ่งพล็อตของการ์ตูนดังกล่าวคือ การทําร้ายกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ถูกนำมาเทียบให้เราได้เห็นอย่างชัดเจนในมิวสิกวิดีโอ
- MV Rookie – The Chronicles of Narnia (2005)
การใช้ตู้เสื้อผ้าเป็นทางผ่านเพื่อไปโลกแห่งจินตนาการ ปรากฏอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลง Rookie รวมถึง The Chronicles of Narnia หนังแฟนตาซีที่พี่น้องทั้ง 4 คน พบกับตู้เสื้อผ้าที่สามารถพาพวกเขาไปยัง ‘นาร์เนีย’ หรือดินแดนต่างมิติได้
- MV Red Flavor – Kick-Ass 1 (2010)
ทรงผมที่มัดหางม้าทั้ง 2 ข้างของไอรีน ทำให้เราเห็นภาพทรงผมของ ฮิทเกิร์ล (Hit Girl) ตัวละครหลักใน Kick Ass ที่มีฝีมือการต่อสู้ที่เก่งกาจ ซึ่งนำแสดงโดย โคลอี้ เกรซ มอเรตซ์ (Chloë Grace Moretz)
- MV Peek-A-Boo – Baby Driver (2017)
เราเห็นภาพคนส่งพิซซ่าอยู่ในมิวสิกวิดีโอเพลง Peek-A-Boo จนแทบจะกลายเป็นบทบาทหลักเลยก็ว่าได้ ซึ่งก็ทำให้เรานึกไปถึงภาพของ เบบี้ (Baby) ตัวละครใน Baby Driver ซึ่งไปส่งพิซซ่ายังบ้านที่กำลังจัดปาร์ตี้อยู่
- MV Bad Boy – The Silence of the Lambs (1991)
ฉากการชูปืนจ่อของซึลกิ ทำให้เรานึกถึง คลาริซ สตาร์ลิ่ง (Clarice Starling) เด็กฝึกหัดของ FBI ที่กำลังไล่ล่าฆาตกรพร้อมชักปืนขึ้นมาในมุมมองระยะประชิดใน The Silence of the Lambs
- MV #Cookie Jar – Stand by Me (1986)
ซีนที่เมมเบอร์ทั้ง 5 คนอยู่ท่ามกลางต้นไม้สูงในป่า และมองแผนที่เพื่อตามหาตำแหน่งของโถคุกกี้ในช่วงต้นของมิวสิกวิดีโอ ชวนให้คิดถึงหนัง coming of age น้ำดีเรื่อง Stand by Me จากยุค 80 ซึ่งเล่าเรื่องราวของเด็กชาย 4 คนที่ออกเดินทางเข้าป่าไปตามหาศพที่หายไป เพราะหวังจะได้รับการยอมรับด้วยใจจากใครสักคน
- MV Power Up – Tangled (2010)
ดอกไม้สีสันสดใสดอกใหญ่ ลำต้นยาว และกลีบดูระยิบระยับแบบนี้ ทำให้แอบนึกถึงเจ้าดอก Sundrop ในเรื่อง Tangled เลย
- MV RBB (Really Bad Boy) – The Shining (1980)
เด็กสาว 2 คน แต่งตัวเหมือนกัน ทรงผมเหมือนกัน กำลังยืนจับมือกันที่โถงทางเดินแคบๆ ติดวอลเปเปอร์ลายดอกไม้ มีหน้าต่างปิดม่านอยู่ด้านหลัง บรรยายมาแบบนี้หลายคนคงนึกถึงเด็กแฝดในหนัง The Shining แต่ก็ต้องมีลัฟวี่บางคนคิดถึงไอรีนและเยริในเพลง RBB กันบ้างแน่ๆ
- MV SAPPY – Enchanted (2007)
ฟองสบู่และโฟมนุ่มๆ สีขาว เป็นสิ่งที่เห็นอยู่ตลอดเพลง SAPPY ที่เกือบครึ่งในมิวสิกวิดีโอเป็นซีนล้างรถ แต่เห็นแบบนี้ก็ชวนให้เราคิดถึงเจ้าหญิงจีเซลจาก Enchanted กับเพลงทำงานสุขสันต์ในฉากที่มีบับเบิ้ลลอยไปมาในห้องน้ำจริงๆ
- MV Zimzalabim – The Grand Budapest Hotel (2014)
จอยที่รับบทเป็นพนักงานต้อนรับก่อนจะพาลูกค้าขึ้นไปยังสวนสนุก ซึ่งเครื่องแบบของจอยในมิวสิกวิดีโอนั้นคล้ายกับชุดพนักงานโรงแรมใน The Grand Budapest Hotel และที่สำคัญในหนังเรื่องดังกล่าวก็มีฉากขึ้นลิฟต์ในลักษณะเดียวกัน แถมทั้งหนังและมิวสิกวิดีโอยังมีกลิ่นอายแฟนตาซีเหมือนกันอีกด้วย
- MV Umpah Umpah – Home Alone (1990)
เวนดี้ที่เกาะหน้าต่างมองฝนในฤดูร้อนแบบนอยด์ๆ ช่างตรงกันข้ามกับเจ้าหนูเควินจาก Home Alone ที่เกาะหน้าต่างมองหิมะวันคริสต์มาสอย่างมีความสุข เพราะคำอธิษฐานให้คนในบ้านหายไปเป็นจริงสักที
- MV Psycho – Black Swan (2010)
ภาพสะท้อนของเธอในกระจกคือตัวเธอจริงๆ หรือภาพหลอนกันนะ? ฉากภาพสะท้อนในกระจกจากมิวสิกวิดีโอเพลง Psycho ทำให้เรานึกไปถึง Black Swan ที่เป็นนัยของด้านดี (หงส์ขาว) และด้านมืด (หงส์ดำ) ในตัวเอกของเรื่อง นอกจากนี้ทั้งคู่ยังพูดถึง Toxic Relationship อีกด้วย เพราะ Psycho พูดถึงความท็อกซิกระหว่างคนรัก ส่วน Black Swan คือความท็อกซิกระหว่างแม่กับลูก
- MV Queendom – Alice in Wonderland (2010)
ดินแดนแฟนตาซีสีสันสดใส โต๊ะน้ำชาตัวใหญ่ที่เต็มไปด้วยขนมนมเนย และกาน้ำชาหลากสี แล้วมีเมมเบอร์นั่งล้อมวงกันจิบชา นี่มันงานเลี้ยงน้ำชายามบ่ายของ แมด แฮทเทอร์ (Mad Hatter) จาก Alice in Wonderland ชัดๆ!
- MV WILDSIDE – Lupin (2021)
ฉากที่จอยเดินอยู่รอบตู้แสดงสร้อยเพชร ชวนให้เรานึกถึงฉากในเรื่อง Lupin 2021 ที่อัสซานมองสร้อยเพชรในตู้กระจก ซึ่งเขาตั้งใจขโมยให้ได้เพื่อไขข้อสงสัยเกี่ยวกับการตายของพ่อ
- MV Feel My Rhythm – Maleficent 2 (2019)
ซึลกิลุคนี้เรียกว่าสวยจึ้งจนช่วงที่เพลงออกใหม่ๆ เราเห็นผ่านทุกหน้าไทม์ไลน์ ยิ่งใส่ชุดสีดำ มีลูกเล่นที่ไหล่ สวมเครื่องหัวสีดำ ทาปากแดง ฉากหลังเขียวแบบนี้ ยิ่งส่งให้สวยแบบตัวแม่ตัวมัม สวยแบบควีน สวยแบบมาเลฟิเซนต์สุดๆ
- MV Birthday – STAY (2018)
สัญลักษณ์ที่ปรากฏใน Birthday เรียกว่า เพนตาแกรม (Pentagram symbol) ดาวห้าแฉกที่มีวงกลมล้อมรอบอีกที โดยนัยของมันมีหลากหลายมาก ไม่ว่าจะเป็นความเกี่ยวเนื่องกับศาสนาคริสต์ แม่มด ไสยาศาสตร์ และธาตุทั้ง 5 ซึ่งหนังหลายเรื่องได้นำเพนตาแกรมมาใช้ทั้ง The Craft, Fantastic Beasts, The Love Witch รวมถึง STAY ที่มีฉากคล้ายกับในมิวสิกวีดิโอเช่นกัน
- MV Chill Kill – A Tale of Two Sisters (2003)
ภาพเมมเบอร์นั่งอยู่บนโซฟา แล้วมีชายปริศนายืนอยู่ด้านหลังก่อนจะถูกตัดออกไป ดูไปดูมาก็คล้ายกับโปสเตอร์ของหนังสยองขวัญสัญชาติเกาหลีอย่าง A Tale of Two Sisters ที่มีภาพ 2 พี่น้องในชุดเดรสเปื้อนเลือดนั่งอยู่บนโซฟา แล้วมีพ่อและแม่เลี้ยงยืนอยู่ด้านหลัง นอกจากนี้ ทั้งมิวสิกวิดีโอและตัวหนังยังพูดถึงความรุนแรงในครอบครัวเช่นกัน
- MV Cosmic – Midsommar (2019)
เรียกว่าแค่เปิดดูมิวสิกวิดีโอปุ๊บ เราก็นึกถึง Midsommar หนังภาพสดใสที่เนื้อเรื่องไม่ได้สดใสตามไปด้วยทันที ซึ่งก็เข้ากับความเป็น Red Velvet สุดๆ โดยทั้งคู่ใช้เทศกาล Midsommar ที่มีอยู่จริงในแถบสแกนดิเนเวียเป็นฉากหลัง ซึ่งเห็นได้ชัดจากฉากเต้นรอบเสา Midsommarstången นั่นเอง
Funfact: ถ้าใครสังเกตดีๆ จะเห็นว่าเกินครึ่งหนึ่งในมิวสิกวิดีโอ มักมีอาหารและเครื่องดื่มประกอบฉาก มีดอกไม้นานาพรรณ รวมไปถึงการขับรถ และการล้อมวงด้วยอิริยาบทต่างๆ ด้วย
มากกว่าคอนเสิร์ต คือได้เจอลัฟวี่ทั่วโลก
การเดินทางทัวร์คอนเสิร์ต เป็นหนึ่งในภารกิจที่ไอดอลทุกคนปรารถนา เพราะพวกเขาจะได้พบเจอแฟนคลับที่รักจากทั่วทุกมุมโลก ได้ไปฟังเสียงของแฟนคลับในฮอลล์คอนเสิร์ต ได้รับความรัก พลัง และกำลังใจเติมให้กับตัวเอง นอกจากจะเป็นความปรารถนาของไอดอลแล้ว ก็ยังเป็นความปรารถนาของแฟนคลับด้วยเช่นกัน เพราะเราจะได้เจอคนที่เรารักแสดงอยู่ตรงหน้าด้วยตาของเราเอง
ตลอด 10 ปีที่ผ่านมาของน้องเค้กนั้น สาวๆ เคยจัดคอนเสิร์ตมาแล้วทั้งสิ้น 4 คอนเสิร์ต ในแต่ละคอนเสิร์ตก็มีเรื่องราวต่างๆ มากมายเกิดขึ้น ทั้งช่วงเวลาที่แสนสุขและขมขื่น โดยเฉพาะกับลัฟวี่ชาวไทย ที่เพิ่งเคยมีโอกาสได้เจอน้องเค้กไปเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น
คอนเสิร์ตแรกของวงเริ่มต้นด้วย ‘Red Room’ ในปี 2017-2018 ซึ่งจัดทั้งหมด 13 รอบ แบ่งเป็นในเกาหลี 3 รอบ และในญี่ปุ่นอีก 10 รอบ โดยกระจายไปตามเมืองต่างๆ ถึง 7 เมือง ต่อมาในปี 2018-2019 คอนเสิร์ตที่ 2 ‘Redmare’ ก็เริ่มต้นขึ้น ในครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีที่น้องเค้กได้ทัวร์ทั้งในเอเชียและข้ามไปถึงฝั่งอเมริกา โดยจัดขึ้นทั้งหมด 19 รอบ 7 ประเทศ คือ เกาหลี ไทย ไต้หวัน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น และฝั่งอเมริกาเหนือ อย่างสหรัฐอเมริกาและแคนนาดา จึงเป็นเครื่องการันตีได้อย่างดีว่า น้องเค้กของเรามีคนรักอยู่ทั่วโลกจริงๆ ถัดมาในคอนเสิร์ตที่ 3 ‘La Rouge’ ปี 2019-2020 จัดขึ้น 5 รอบ 2 ประเทศ คือ เกาหลีกับญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายที่คอนเสิร์ตถูกยกเลิกทัวร์ไป และล่าสุดในปี 2023 กับคอนเสิร์ตที่ 4 ‘R to V’ ที่จัดขึ้นทั้งหมด 11 รอบ 9 ประเทศ คือ เกาหลี สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และครั้งนี้น้องเค้กได้เดินทางไปทัวร์ฝั่งยุโรปอย่าง ฝรั่งเศส เยอรมนี เนเธอร์แลนด์ และอังกฤษด้วย
ทว่าในคอนเสิร์ต ‘R to V’ นี้เอง เป็นเหมือนมีดกรีดลงกลางใจลัฟวี่ชาวไทยที่ตั้งตารอคอย เพราะคอนเสิร์ตถูกยกเลิกก่อนวันแสดงเพียง 3 วัน ทั้งที่บัตร Sold out ทุกที่นั่ง ความหวังที่จะได้เจอน้องเค้กในรอบ 5 ปีของลัฟวี่ไทยจึงเป็นอันแตกสลายลงพร้อมๆ กัน
แม้จะพลาดคอนเสิร์ตไปอย่างน่าเสียดาย แต่ลัฟวี่ไทยก็แย้มรอยยิ้มออกมาได้อีกครั้ง เพราะเราจะได้ฉลองครบรอบ 10 ปี ไปกับน้องเค้กแล้ว หลัง SM Ent. ประกาศจัดแฟนคอน HAPPINESS : My Dear, ReVe1uv และมีหมุดหมายที่ประเทศไทยของเราด้วย ถึงแฟนคอนในครั้งนี้จะทดแทนคอนเสิร์ต R to V ไม่ได้ แต่อย่างน้อยที่สุด ลัฟวี่ไทยแบบเราก็จะได้เจอน้องเค้กอีกครั้งแล้วจริงๆ
นอกจากคอนเสิร์ตและแฟนคอน น้องเค้กยังมีโชว์เคส แฟนมีตติ้ง คอนเสิร์ตค่าย คอนเสิร์ตรวม อีเวนต์อีกนับไม่ถ้วน แต่ที่สร้างตำนานเลื่องชื่อมากที่สุด อาจจะเป็นการไปแสดงที่ประเทศเกาหลีเหนือ เมื่อปี 2018 ในคอนเสิร์ต ‘Spring Is Coming’ เรียกได้ว่าเป็นเกิร์ลกรุ๊ปเคป๊อปจากเกาหลีใต้ที่ได้ไปเยือนเกาหลีเหนือในฐานะทูตทางวัฒนธรรม ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับทั้งน้องเค้ก คนเกาหลีใต้ และแฟนคลับทั่วโลก
ทั้งหมดนี้จึงเป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่า แม้จะผ่านมาแล้ว 10 ปี แต่กระแสความนิยมของราชินีฤดูร้อนอย่าง Red Velvet ไม่เคยพร่องลงเลย พวกเธอจะยังคงเดินหน้าต่อไปถึงปีที่ 20 30 40 ได้ ขอเพียงแค่ได้รับโอกาสที่สมควรได้รับเท่านั้น
เพราะราชินีไม่ได้สวมแค่มงกุฎ แต่ถือถ้วยรางวัลแห่งชัยชนะด้วย
หนึ่งในสิ่งที่การันตีความสำเร็จของวงไอดอลได้ ก็คือ ‘รางวัล’ และ Red Velvet ก็เป็นวงที่คว้าถ้วยรางวัลมาแล้วในทุกๆ เวที เสมือนเป็นการตอกย้ำว่า นี่คือราชินีแห่งวงการตัวจริง
69 ถ้วยจากงานประกาศรางวัลปลายปี และอีก 86 ถ้วยรายการเพลง คือจำนวนถ้วยรางวัลที่น้องเค้กคว้ามาได้ตลอด 10 ปีเต็ม ตัวเลขที่ปรากฏนี้ไม่ใช่จำนวนที่ใครต่อใครจะสามารถทำได้ แต่แน่นอนว่า Red Velvet ทำได้ ทุกความตั้งใจ ทุกความพยายาม และทุกแรงซัปพอร์ตของลัฟวี่ สัมฤทธิ์ออกมาเป็นรางวัลแห่งความภาคภูมิทั้งสิ้น
ใน 2014 ปีแรกของการเดบิวต์ Red Velvet ได้รับรางวัลในฐานะรุกกี้จากหลากหลายเวที ทั้ง Golden Disc Awards และ Seoul Music Awards ถือเป็นการเริ่มต้นที่น่าจับตามอง และในปีถัดมารางวัล Best Female Dance จาก Melon Music Awards, รางวัล Best Dance Performance (Female Group) จาก Mnet Asian Music Awards ก็ถูกคว้าเข้าสู่อ้อมกอดของพวกเขา ต่อจากนั้นในทุกๆ ปี ไม่ว่าจะรางวัล Best Music Video จาก Melon Music Awards, รางวัล Best K-Pop Song จาก Korean Music Awards, รางวัล Best Female Group จาก Mnet Asian Music Awards, รางวัล Song of the Year – August จาก Circle Chart Music Awards, Bonsang Award และอีกหลายสิบรางวัล จากหลากหลายเวที ก็ถูกประกาศขานด้วยชื่อของ Red Velvet อยู่เสมอ
ไม่เพียงแต่รางวัลจากงานประกาศปลายปีเท่านั้น แต่เกือบทุกคัมแบ็ก Red Velvet ก็มักจะคว้าที่ 1 ในรายการเพลงกลับมาอยู่เสมอ ทั้งรายการ M Countdown, Music Bank, Show! Music Core, Inkigayo, The Show, Show Champion ซึ่งนับรวมที่คว้ารางวัลจากรายการเพลงมาทั้งสิ้น 86 ถ้วยรางวัล
แน่นอนว่าสถิติจะไม่หยุดบันทึกไว้เพียงเท่านี้ แต่รางวัลจะยังถูกนับต่อไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ Red Velvet และลัฟวี่ยังคงอยู่ด้วยกัน
ชื่อเพลงถูกร้องบ่อยแค่ไหน?
มาถึงช่วง ‘รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม’ กันบ้าง หลายครั้งเพลงของน้องเค้กกลายเป็นที่นิยม ลัฟวี่หรือกระทั่งแฟนเพลงก็มักจะจดจำกันได้ไม่ยาก เราเลยลองจับสังเกตกันได้ว่า เพราะชื่อเพลงเหล่านั้นมักจะถูกนำมาย้ำอยู่บ่อยๆ ในเนื้อเพลง ไม่ว่าจะเป็นท่อนฮุกหรือท่อนเปิดก็ตาม เราเลยขอเอาเพลงไตเติ้ลมากางดูกันสักหน่อยว่า แต่ละเพลงมีชื่อเพลงปรากฏอยู่ในเนื้อร้องทั้งหมดกี่ครั้ง โดยจะนับชื่อเพลงทั้งภาษาอังกฤษและภาษาเกาหลี (ที่ถูกวงเล็บไว้ เช่น 빨간 맛 หรือ Red Flavor) รวมถึงที่ปรากฏในเสียงเอคโค่ด้วย
เริ่มจากชื่อเพลงที่ถูกร้องในเพลงมากที่สุดถึง 109 ครั้งด้วยกัน นั่นก็คือเพลงป๊อปแดนซ์อย่าง Dumb Dumb นั่นเอง ต่อมาคือเพลงป๊อปพังก์อย่าง Rookie ปรากฏชื่อเพลงไปทั้งหมด 66 ครั้ง ตามด้วยเพลงสไตล์อิเล็กโทรป๊อปอย่าง Zimzalabim 37 ครั้ง SAPPY จำนวน 25 ครั้ง และเพลงป๊อปแดนซ์อย่าง Peek-A-Boo เพลงอาร์แอนด์บีป๊อปอย่าง RBB (Really Bad Boy) และ Umpah Umpah เพลงดิสโก้เฮ้าส์ ที่ปรากฏชื่อเพลงไปถึง 22 ครั้งด้วยกัน
ตามมาติดๆ ด้วยเพลงป๊อปแดนซ์อย่าง #Cookie Jar และ Birthday ที่ชื่อเพลงถูกร้องไป 20 และ 18 ครั้งตามลำดับ ต่อด้วยอาร์แอนด์บีป๊อปอย่างเพลง Psycho 16 ครั้ง เพลงแนวยูโรป๊อปผสมผสานกับดนตรีแนวแอฟริกันอย่าง Happiness และ WILDSIDE เพลงอาร์แอนด์บีป๊อปที่ชื่อเพลงปรากฏทั้งหมด 13 ครั้ง Automatic ชื่อเพลงอาร์แอนด์บีป๊อปปรากฏในเนื้อเพลง 11 ครั้ง เพลงป๊อปแดนซ์อย่าง Cosmic 9 ครั้ง และ Power Up 8 ครั้ง
ชื่อเพลงที่เจอในเนื้อเพลงทั้งหมด 6 ครั้ง คือ Russian Roulette เพลงอิเล็กโทรป๊อป และ Feel My Rhythm เพลงอาร์แอนด์บีป๊อป ต่อด้วยเพลงสไตล์แดนซ์ร็อกอย่าง Ice Cream Cake และเพลงอาร์แอนด์บีผสมอีดีเอ็มอย่าง Chill Kill ที่ปรากฏชื่อเพลงในเนื้อเพลงไป 5 ครั้ง และที่ปรากฏชื่อเพลงน้อยที่สุดนั่นก็คือ เพลงบัลลาดอย่าง One Of These Nights เพลงป๊อปแดนซ์อย่าง Red Flavor, Queendom และเพลงสไตล์ริทึมแอนด์บลูส์อย่าง Bad Boy ทั้งหมด 4 ครั้ง ทั้งนี้เพลงครบรอบ 10 ปีที่เพิ่งปล่อยมาอย่าง Sweet Dreams เอง เราก็เจอชื่อเพลงนี้ในเนื้อเพลงได้ 1 ครั้ง
Funfact: นอกจากชื่อเพลงจะถูกนำมาเป็นเนื้อเพลงในเพลงเพลงนั้นแล้ว เรายังอาจพบชื่อเพลง รวมไปถึงชื่ออัลบั้มต่างๆ ในเนื้อเพลงอื่นๆ ได้ด้วยนะ
จากนี้และตลอดไป Red Velvet และ ReVeluv จะมีค่ำคืนที่ฝันดีไปด้วยกัน Sweet Dreams, my love
อ้างอิงจาก