ช่วงเดือนธันวาคมสำหรับประเทศไทยก็มีอะไรให้ลุ้นอยู่หลายอย่าง ทั้งการลุ้นว่าเงินโบนัสของปีนี้จะออกมาหรือเปล่า ไม่ก็ลุ้นว่าลมหนาวจะมีโอกาสมาเยือนบ้างไหม แล้วถ้าลมหนาวมาเยือนจะสามารถหนาวเย็นได้สักกี่วัน
อีกเรื่องหนึ่งที่คนไทยคุ้นเคยกันดีก็คือบรรยากาศช่วงต้นเดือนที่จะมีเรื่องราวของวันพ่อแห่งชาติ และในครั้งนี้เราจึงอยากจะพูดถึงภาพยนตร์ที่เล่าเรื่องความรักของพ่อในรูปแบบต่างๆ เผื่อว่าช่วงวันหยุดในปลายปี ทุกท่านจะลองไปหาภาพยนตร์เหล่านี้มารับชมกันบ้าง
La Vita È Bella / Life Is Beautiful – รักของพ่อที่สร้างความงดงามแม้ในยามสงคราม
ภาพยนตร์จากอิตาลีที่มี Roberto Benigni ควบตำแหน่ง ผู้กำกับ, ผู้เขียนบท และแสดงนำ โดยเล่าเรื่องของ กุยโด้ ชายชาวยิวที่อาศัยในอิตาลีในปี ค.ศ. 1939 ชายคนดังกล่าวตกหลุมรักหญิงสาวชาวอิตาลี และสามารถคว้าใจเธอได้ด้วยการใช้ทักษะส่วนตัวสร้างสถานการณ์ชวนฝัน ซึ่งทำให้หญิงสาวยอมแต่งงานและมีลูกชายกับเขา
ก่อนเรื่องราวจะเดินหน้าไปช่วงเวลาที่อิตาลีเข้าร่วมเป็นกองทัพอักษะ ครอบครัวของกุยโดจึงถูกกวาดล้างเอาชาวยิวไปยังค่ายกักกันที่แยกการกักกันเพศชายเพศหญิง เมื่อไม่แน่ใจว่าในอนาคตจะมีโอกาสรอดชีวิตไปหรือไม่ กุยโดจึงตัดสินใจปกป้อง โจชัว ลูกชายที่รัก ให้พ้นจากความจริงที่โหดร้าย แล้วเล่าเรียงเนื้อเรื่องว่านี่คือการเล่นเกมสเกลใหญ่ที่ทุกคนต่างเข้าแข่งขัน ซึ่งถ้าสะสมแต้มได้ครบหนึ่งพันแต้ม ทำให้เด็กชายเชื่อว่า การอดทนไม่บ่นหิว ไม่คิดถึงแม่ และในตอนท้ายที่ กุยโด้ ก็สั่งให้ลูกชายซ่อนตัวอยู่ในกล่องเหล็ก เมื่อทหารนาซีมาจับชาวยิวรวมถึงตัวเขาไปประหาร ซึ่งเด็กชายก็ทำตามคำสั่งแต่โดยดี จนกระทั่งรถถังของกองทัพสัมพันธมิตรบุกเข้ามาตีค่ายกันกันเด็กชายจึงถูกช่วยเหลือและเข้าใจว่าตัวเองชนะเกม และได้พบกับแม่ที่รอดตายมาเช่นกันในที่สุด
เด็กน้อยมารับรู้ภายหลังว่า ที่เขาไม่เคยจดจำภาพร้ายของสงครามในหัว หรือเรื่องที่ว่าความจริงแล้วตัวเองไปอยู่กับความโหดร้าย ทั้งหมดนี้เป็นพลังความทุ่มเทเพื่อสร้างภาพอันงดงามให้กับลูกชายแม้จะต้องแลกด้วยชีวิตของตัวผู้เป็นพ่อเองก็ตาม
I Am Sam – รักของพ่อผู้มีความพิการ
แซม ดอว์สัน เป็นชายผู้มีความพิการทางด้านการเรียนรู้ และยังเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวของเด็กหญิงลูซี่ ลูกสาวที่เข้าได้รับจากการมีความสัมพันธ์กับหญิงคนหนึ่ง โชคดีที่ แซม มีเพื่อนรอบตัวที่คอยสนับสนุนการเลี้ยงดูลูกสาวทำให้เขาสามารถเลี้ยงดู ลูซี่ จนเติบโตจากวัยแบเบาะเข้าสู่วัยเด็กได้
ปัญหาเกิดขึ้นเมื่อ ลูซี่ โตขึ้นและเริ่มเห็นได้ชัดว่าเธอมีความฉลาดมากกว่าพ่อของเธอ ซึ่งนั่นทำให้เธอโดนเพื่อนล้อเลียนและมีความโชคร้ายตามมาอีกขั้นก็คือ แซม กำลังจะต้องถูกทางการริบสิทธิ์การดูแลบุตรจากสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์นั่นเอง แล้วก็เป็นเพื่อนๆ ของแซมที่แนะนำให้เขาจ้างทนายเพื่อต่อสู้คดี ทำให้แซมเริ่มต่อสู้ในเรื่องที่ไม่มีใครเคยคาดคิดว่าคนพิการเขาจะออกมาทำ
แม้ว่าการต่อสู้เพื่อแสดงให้เห็นว่าแซมเป็นพ่อได้ดีนั้นจะมีความยากลำบาก แต่คนรอบตัวของแซมก็เห็นใจความตั้งใจของพ่อผู้พิการ จนในที่สุดเรื่องก็ลงเอยว่าครอบครัวที่ตั้งใจจะรับ ลูซี่ ไปเป็นบุตรบุญธรรมมีความเห็นว่า แซม เป็นพ่อที่ดีมากแล้วสำหรับลูกสาว และแซมก็ยอมรับความช่วยเหลือจากสถานสงเคราะห์เพื่อให้ช่วยดูแลลูซี่ที่โตขึ้นอย่างเหมาะสมด้วย จนสุดท้าย แซม กับ ลูซี่ ก็สนิทกับเกือบทุกคนที่เกี่ยวข้องในคดีความคราวนี้
ผู้มีความพิการอาจจะต้องใช้ความพยายามมากสักหน่อยในการแสดงออกให้คนทั่วไปเห็นว่าพวกเขาใช้ชีวิตได้ไม่ต่างกับคนปกติ แต่ถ้าเป็นการแสดงออกถึงความรักแล้ว ไม่ว่าจะในภาพยนตร์หรือในชีวิตจริงเรามักจะเห็นได้ว่า ผู้มีความพิการสามารถแสดงความรักของพวกเขาได้อย่างทรงพลังและไม่ขาดหายไปเลยแม้แต่น้อย และการ Bully บุคคลที่มีญาติหรือพี่น้องเป็นคนพิการ บางทีมันอาจจะกระทบจนทำให้ชีวิตครอบครัวล่มสลายได้โดยไม่รู้ตัว
Soshite Chichi Ni Naru / Like Father, Like Son – รักของพ่อที่อาจจะสั่นไหวแต่ไม่สั่นคลอน
ภาพยนตร์ของ โคเรเอดะ ฮิโรคาซุ (Kore-eda Hirokazu) มักจะหยิบเอาครอบครัวที่มีสถานการณ์ที่ ‘ไม่ธรรมดา’ หากเทียบกับมุมมองของคนทั่วไป อย่างในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เล่าเรื่องของ โนโนมิยะ เรียวตะ ชายที่ถือว่าประสบความสำเร็จทั้งด้านการงานและครอบครัว ได้รับการบอกกล่าวว่าลูกชายที่ตัวเองเลี้ยงดูมาตลอดหลายปีนั้น แท้จริงแล้วเป็นลูกของคนอื่นอันเกิดจากความผิดพลาดของโรงพยาบาล
โนโนมิยะ เรียวตะ กับภรรยายจึงตัดสินใจเดินทางไปพบกับครอบครัวไซกิ ครอบครัวที่ดูแลลูกชายตัวจริงของเขาไว้แล้วพบว่า ฐานะของครอบครัวโนโนมิยะ กับไซกินั้นต่างกันฟ้ากับเหว ความคิดวูบนึงด้วยคำว่า ‘คนเป็นพ่อ’ ทำให้เรียวตะตัดสินใจสลับลูกของทั้งสองคนคืนสู่บ้านของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด
แต่การสลับบ้านกันนั้นกลับส่งผลร้ายกว่าที่คาด ไม่ใช่แค่กับตัวภรรยาของเรียวตะ แต่กับครอบครัวไซกิ และสุดท้าย กับลูกชายของทั้งสองบ้านด้วย ซึ่งเรียวตะก็รู้สึกตัวเช่นกันว่าเขาเองได้ทำผิดพลาดไป แต่มันก็ยังไม่สายเกินไปสำหรับเขาที่จะให้ครอบครัวที่คุ้นเคยได้อยู่กันพร้อมหน้ามากกว่า การแลกเปลี่ยนลูกชายจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง
และการสลับบ้านครั้งสุดท้ายนี้คือการที่เรียวตะไปขอคืนดีกับทุกคน ทั้งภรรยาของตัวเอง ครอบครัวไซกิ รวมถึงการขอโทษลูกชายที่เขาดูแลมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก กับลูกชายที่เป็นผู้สืบสายเลือดจริงของเขา ตามมาด้วยการตัดสินใจว่า บ้านโนโนมิยะ กับ บ้านไซกิ ที่อาจจะเคยพบกับความวุ่นวายในอดีต ทว่าในปัจจุบัน พวกเขาคือคนที่จะร่วมกันเดินไปสู่อนาคตที่ชัดเจนขึ้น
ความรักนั้นไม่ใช่เรื่องแย่แต่อย่างใด กระนั้นการที่ยึดติดกับความรู้สึกอะไรบางอย่างก็อาจจะทำร้ายคนรอบตัวไปโดยไม่รู้ตัว และโชคดีที่ผู้กำกับ Kore-eda ตั้งใจที่จะเล่าเรื่องของพ่อผู้รู้สึกสั่นไหวกับคำว่า ‘ความเป็นพ่อ’ ของตัวเอง แต่เมื่อเขาเข้าใจว่า สิ่งที่เขาควรทำคือการรักโดยใส่ใจคนรอบข้าง ไม่ใช่การครอบครอง ทำให้ความรักของพ่อคนนี้กลับมามั่นคงไม่สั่นคลอนอีกครั้ง
The Pursuit Of Happyness – รักของพ่อที่ทุ่มเทแม้ไม่เหลืออะไรในมือเลย
คริส การ์ดเนอร์ เป็นพนักงานขายเครื่องมือการแพทย์ ที่เข้าตาจนจากการที่สินค้าที่เขามีนั้นขายไม่ออก ค่าเช่าบ้านก็ไม่พอจ่าย ค่าฝากเลี้ยงลูกก็ต้องดูแล แถมติดค่าปรับจอดรถผิดที่อีก เมื่อเขาได้โอกาสที่จะได้รับการฝึกอบรมเป็นโบรกเกอร์ค้าหุ้น แม้ว่าจะไม่ได้เงินทันที แต่เขาลองคว้าโอกาสที่ริบหรี่นั้นดู ทั้งหมดก็เพราะเขามีปณิธานตั้งอยู่ในใจว่า เขาจะดูแลลูกให้ดีแตกต่างกับที่พ่อของเขาผู้ที่ทิ้งครอบครัวไป
แม้ว่าความตั้งใจจะแน่วแน่ แต่เมื่อไม่มีรายได้เข้าตัวให้เห็นชัดเจน ภรรยาของคริสจึงตัดสินใจทิ้งให้พ่อลูกอาศัยอยู่ด้วยกันสองคน และ คริส ก็ต้องผ่านการทดสอบจากโชคชะตาอีกมาก ไหนจะมีคนขโมยเครื่องมือการแพทย์ของเขาไป ตัวเขาที่ไปทำการฝึกอบรมเป็นโบรคเกอร์ค้าหุ้นอาจโชคดีที่ได้รับทุนจนไม่ต้องเสียเงินค่าสมัครใดๆ แต่ก็มีเวลาทำงานน้อยกว่าคนอื่น ในขณะเดียวกันหนี้ที่เกิดขึ้นก็คอยกระชากเงินของคริสอยู่เป็นระยะ
จน ณ จุดหนึ่ง คริสกับลูกชายต้องไปนอนในห้องน้ำของสถานีรถไฟภายในเมืองเนื่องจากตัวของเขาเกือบไม่เหลือเงิน ถ้าโชคดีก็ได้ไปซุกหัวนอนกับสถานที่พักพิงของคนไร้บ้านบ้าง แต่ไม่ว่าสถานการณ์จะแย่ขนาดไหน สิ่งที่คริสยังทำเสมอๆ ก็คือการพยายามดูแลลูกชายให้ดีที่สุด
เวลาผ่านไปจนครบสองเดือน สถานการณ์ของคริสค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อเขาสามารถขายอุปกรณ์การแพทย์ได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาได้ผ่านการคัดเลือกให้เข้ามาเป็นโบรกเกอร์ประจำบริษัทที่นำพาไปสู่ความมั่นคงทางการเงินในเวลาต่อมา
ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้พ่อลูกตัวจริงอย่าง วิล สมิท (Will Smith) กับ เจเดน สมิท (Jaden Smith) มารับบทเป็นพ่อลูกในเรื่อง และตัวเรื่องก็มีเค้าโครงบางๆ จากเรื่องจริง แม้ว่าเรื่องราวของคุณพ่อในหนังท่านนี้อาจจะธรรมดากว่าภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง แต่เรื่องเล็กน้อยของการต่อสู้ในชีวิตแบบนี้เองนั่นล่ะเข้าถึงใจทุกคนที่อยากจะสู้ให้ครอบครัวมีความสุข
Three Men And A Baby – รักของพ่อที่อาจจะไม่ได้เป็นอะไรกับเด็กน้อย
บางทีความเป็นพ่อก็อาจจะบุกเข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว อย่างเช่นเรื่องราวของเพื่อนสามคน ปีเตอร์, ไมเคิล และ แจ็ค ที่แชร์ห้องกันอยู่ในกรุงนิวยอร์ก และใช้ชีวิตในฐานะหนุ่มโสดแบบเต็มพิกัด จนกระทั่งมีคนเอาเด็กทารกน้อยมาวางไว้ที่หน้าห้องพร้อมกับระบุว่าเป็นผลพวงจากความสัมพันธ์ของแจ็คกับหญิงสาวอีกคนหนึ่ง
ในช่วงแรกชายหนุ่มทั้งสามก็พยายามเลี่ยงการดูแลเด็กหญิงคนดังกล่าว แต่ก็ค่อยๆ ยอมรับสภาพ และเรียนรู้การดูแลเด็กน้อยที่ยังไม่รู้ประสา แล้วในเวลาไม่นาน ชายโสดสามคนที่สลับกันดูแลทารก (นอกจากนั้นยังมีการรับมือกับพ่อค้ายาเสพติดอีกด้วย) ก็ค่อยๆ ตกหลุมรักความสดใสของเด็กหญิงตัวน้อย ไม่เว้นแม้แต่ ปีเตอร์ กับ ไมเคิล ที่ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ ทางสายเลือดกับเด็กหญิง
จนกระทั่งแม่ของเด็กน้อยเดินทางกลับมาเพื่อรับลูกสาวไปดูแล ซึ่งก็น่าจะเป็นการคืนความโสดให้กับสามหนุ่ม แต่กลายเป็นว่าพอไร้เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กสาว คุณพ่อมือใหม่สามคนกลับเกิดอาการเหงาหงอยไปเสียนี่ แล้วก็โชคดีที่ผู้เป็นแม่ตัดสินใจเปลี่ยนแผนการ เพราะตัวคุณแม่มือใหม่เองก็ยังอยากทำงานที่รักซึ่งผู้ชายโสดที่คุ้นแล้วกับการดูแลเบบี๋ก็ยินดีที่จะรับผู้หญิงอีกสองคนเข้ามาอาศัยในชายคาเดียวกันและกลายเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีทารกน้อยเป็นผู้เชื่อมใจทั้งหมดไว้ด้วยกัน
ถึงจะเป็นภาพยนตร์ที่ฉายตั้งแต่ปี ค.ศ. 1987 แต่กลับเล่าเรื่องครอบครัวในรูปแบบปกติได้อย่างดี และทำให้เห็นว่า การมีความรักในฐานะพ่อแม่ผู้ปกครองนั้น ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมีสายเลือดเดียวกัน แต่ขอให้มีความใส่ใจในการที่จะเป็นครอบครัวกัน แถมในตอนท้ายเรื่อง ชายหนุ่มสามคนยังรับแม่ของทารักน้อยมาดูแล แถมยังสนับสนุนให้เธอได้ทำงานนักแสดงต่อไป โดยไม่ต้องเป็นฝ่ายดูแลทารกเพียงคนเดียวอีกด้วย
Taken – รักของพ่อที่มีฝีมือฉกาจเฉพาะด้าน
ไบรอัน มิลส์ เป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามของหน่วยงานรัฐแห่งหนึ่งที่เกษียณตัวเองเพื่อมาใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับ คิม ที่เป็นลูกสาว ซึ่งอาศัยอยู่กับแม่ ฟังๆ ดูแล้วนี่ก็น่าจะเป็นเรื่องราวของคุณพ่อที่ทำงานหนักจนถึงจุดที่เขาอยากจะขอพักผ่อนแล้วอุทิศตัวเองให้กับครอบครัวบ้าง
จนกระทั่ง คิม ได้เดินทางไปตามรอยทัวร์คอนเสิร์ตที่ฝรั่งเศส ซึ่งจริงๆ คนเป็นพ่อก็ไม่ได้โอเคอะไรนักกับการเดินทางครั้งนี้และกำชับให้ลูกสาวโทรบอกข่าวบ่อยๆ ซึ่งก็เหมือนว่าลางสังหรณ์ของไบรอันจะเป็นจริง เมื่อ คิม โทรกลับมาพร้อมกับบอกกล่าวว่าเธอกับเพื่อนโดนชายกลุ่มหนึ่งบุกเข้ามาจับตัว
แม้ว่าจะยังไม่ทราบว่าคนร้ายเป็นใครแต่เขาได้ตอบใส่ผู้ฟังที่อยู่ปลายสายไปว่า ‘ฉันไม่รู้ว่าแกเป็น ไม่รู้ว่าแกต้องการอะไร ถ้าแกต้องการค่าไถ่ล่ะก็ ฉันไม่มี แต่ที่ฉันมีคือฝีมือฉกาจเฉพาะด้าน ฝีมือที่เรียนรู้จากงานที่ทำมานาน ฝีมือที่ทำให้เป็นฝันร้ายของแก ถ้าแกปล่อยลูกสาวฉัน ก็ถือว่าจบกัน ฉันจะไม่ตามหาพวกแก ไม่ตามล่าพวกแก แต่ถ้าไม่ปล่อย ฉันจะหาแกให้เจอ แล้วฉันจะฆ่าแก’
น่าเสียดายที่คนร้ายไม่ยอมฟังคำเตือน ทำให้อดีตเจ้าหน้าที่ CIA สายบู๊ต้องใช้เส้นสายเก่าๆ ติดต่อคนคุ้นเคยจนสามารถระบุได้ว่าคนร้ายเป็นใคร และทำการเดินทางบุกเข้าไปถล่มเหล่าร้ายได้อย่างที่เขาพูดได้จริงๆ
ถึงเราจะยกตัวอย่างมาเป็นภาพยนตร์บู๊สุดมันส์ แต่ความสำคัญแท้จริงของเรื่องนี้ก็คือ ถ้าคุณพ่อคนไหนที่ความสามารถพิเศษใดๆ อยู่ ถ้าเขาสามารถใช้มันเพื่อครอบครัว รับรองว่าจะเป็นการทุ่มกำลังในทักษะนั้นแบบถึงลูกถึงคนอย่างแน่นอน
Interstellar – รักของพ่อข้ามห้วงอวกาศและกาลเวลา
คุณคิดว่าความรักจะทรงพลังได้ขนาดไหน… หากตอบเป็นตัวเลขมาตรวัดใดๆ นั้นก็อาจจะพูดได้ยากยิ่ง แต่สำหรับ คริสโตเฟอร์ โนเลน (Chirstopher Nolan) เขาเชื่อว่าความรัก มีพลังมากเพียงพอที่จะเดินทางผ่านทะเลดวงดาวในระดับที่หลายคนอาจจะไม่เคยคาดคิด ด้วยการเล่าเรื่องของโลกในอนาคตที่อยู่ในสภาพที่มนุษย์ใกล้จะอาศัยไม่ได้ กับภาวะที่ผู้คนในโลกเชื่อว่าการเดินทางอวกาศไม่สามารถเป็นไปได้ โจเซฟ คูเปอร์ อดีตนักบินของ NASA จึงกลายมาเป็นแค่เจ้าของฟาร์มข้าวโพด ควบกับทำหน้าที่เป็นพ่อที่ดีกับลูกๆ ของเขา โดยเฉพาะลูกสาวอย่างเมอร์ฟี่ ที่มีความสนิทกันมาก จากการที่ทั้งสองคนพยายามทำความเข้าใจโลกรอบตัวด้วยตรรกะเหตุผลมากกว่าที่จะตัดสินใจไปเอง จะมีแค่เรื่อง ‘ผี’ ที่อยู่ในห้องของเมอร์ฟี่นั่นล่ะที่ดูอธิบายเหตุผลไม่ได้
จนกระทั่งคูเปอร์คนพ่อพบว่า ‘ผี’ ที่ว่าเป็นการส่งสัญญาณผ่านคลื่นแรงโน้มถ่วง ที่นำพาให้พ่อลูกไปเจอกับฐานทัพลับของ NASA ที่ตอนนี้มีข้อมูลว่าพวกเขาสามารถเดินทางผ่านรูหนอน (Wormhole) ที่ปรากฏขึ้นมาอยู่ใกล้กับดาวเสาร์ และมีการคาดว่ารูหนอนดังกล่าวถูกสร้างด้วยสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญา ทั้งยังกลายเป็นความหวังให้มนุษย์สามารถหาบ้านหลังใหม่ได้ และมีทีมสำรวจอวกาศเดินทางออกไปแล้วก่อนหน้านี้ถึงสามชุด
เมื่อได้ทราบดังนี้ โจเซฟ จึงร่วมภารกิจในฐานะนักบินของยานอวกาศเพื่อเดินทางไปหาบ้านใหม่ กระนั้นทั้งโจเซฟและเมอร์ฟี่ ก็รู้ดีว่า การเดินทางไปห้วงอวกาศไกลโพ้นนั้นต้องใช้เวลายาวนาน ทำให้พ่อกับลูกสาวมีความแหนงใจกัน แต่คนเป็นพ่อที่มองไปยังอนาคตก็ยอมสละเวลาที่ได้อยู่กับลูกเพื่อซื้อเวลาในอนาคตให้ลูกได้มีโอกาสใช้ชีวิตต่อไป
การเดินทางไปในห้วงอวกาศเพื่อตามรอยทีมสำรวจดวงดาวนั้นมีอุปสรรคอยู่บ้าง และ โจเซฟ กับ เพื่อนร่วมทีมก็พบว่า เดินทางไปยังดาวดวงแรกก็ใช้เวลาบนโลกไปราว 23 ปี และพบว่าดาวไม่สามารถให้มนุษย์อาศัยอยู่ได้ แม้ว่าตัวของ โจเซฟกับเพื่อนร่วมทีมสำรวจจะไม่ได้รับผลกระทบก็ตาม เมื่อไปถึงดาวดวงที่สอง แม้จะมีชีวิตรอดแต่ก็พบมนุษย์อาศัยอยู่ไม่ได้เช่นกันว่า และโจเซฟยังได้ทราบว่าแผนการเดินทางอวกาศนั้นไม่ได้คาดหวังกับการหาดาวดวงใหม่แล้วพามนุษย์เดินทางมา แต่เป็นการลงทุนเพื่อส่งเอ็มบริโอสิ่งมีชีวิตสำคัญเพื่อไปเริ่มต้นสร้างมนุษยชาติใหม่ต่างหาก
ระหว่างที่วางแผนจะเดินทางไปดาวดวงสุดท้าย โจเซฟตัดสินใจสละยานส่วนของตัวเองเดินทางเข้าสู่หลุมดำเพื่อให้ตัวยานที่เหลือสามารถเดินทางไปถึงเป้าหมายได้ แต่กลายเป็นว่าการตัดสินใจกระโจนเข้าสู่หลุมดำทำให้ โจเซฟ ได้มาติดอยู่ในห้วงมิติที่ห้า ซึ่งเป็นสิ่งที่สิ่งมีชีวิตทรงภูมิที่สร้างรูหนอนได้เตรียมเอาไว้ และสถานที่ดังกล่าวเชื่อมต่อกับห้องของเมอร์พี่
เมื่ออยู่ในห้องนั้นสักพัก โจเซฟก็เข้าใจว่าแท้จริงแล้ว ‘ผี’ ในห้องของเมอร์ฟี่ นั้นก็คือตัว โจเซฟ ที่อยู่ในมิติที่ห้า กระนั้นเขาก็ไม่สามารถส่งเสียงติดต่อโดยตรงกับลูกสาวได้ โชคดีที่หุ่นยนต์ที่เดินทางมากับโจเซฟด้วย สามารถรับข้อมูลของภาวะเอกฐานเชิงความโน้มถ่วงซิงกูลาริตี้ (Singularity) และแปลงข้อมูลดังกล่าวมาให้กับโจเซฟที่ใช้คลื่นแรงโน้มถ่วงส่งเป็นรหัสมอร์สไปหาลูกสาวของเขา ไม่ว่าจะเป็นในช่วงเวลาที่ลูกสาวของเขายังเด็ก เป็นวัยรุ่น และสุดท้ายไปสู่ช่วงที่ลูกสาวของเขาพยายามไขสมการเพื่อช่วยเหลือโลกแต่ขาดข้อมูลสำคัญไป จนกระทั่งเธอได้เจอข้อความที่พ่อพยายามส่งข้ามห้วงเวลาและอวกาศมานั่นเอง
เมื่อการส่งข้อมูลเสร็จสิ้น โจเซฟ ก็ถูกปล่อยตัวมาอยู่ใกล้กับยานอวกาศที่ทำหน้าที่อพยพมนุษยชาติและได้เจอกับเมอร์ฟี่ในวัยชราเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งสองได้ทำความเข้าใจกันในเวลาระยะสั้นๆ ก่อนที่ลูกสาวที่ร่างกายอ่อนแอลงตามวัยจะกล่าวว่าให้พ่อเดินทางตามเพื่อนร่วมทีมที่เดินทางไปยังดาวอีกดวงที่อาศัยได้ และโจเซฟก็ทำตามคำขอก่อนจะออกเดินทางไปในห้วงอวกาศอีกครั้ง
เหตุการณ์ต่างๆ ทำให้พ่อลูกต้องอยู่ไกลห่าง มีความหมางใจ แถมยังทำให้สลับวัยกันอีกด้วย แต่สุดท้ายสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจกันในตอนท้ายก็เป็นผลพวงจากความรักของทั้งพ่อลูกที่พยายามสื่อสารกันมาโดยตลอด และโชคดีที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ให้โอกาสกับความรักของพ่อมีพลังแรงกล้าจนไม่สนทั้งระยะทางหรือกาลเวลา