จะเรียกการลุกขึ้นสู้ของแฟนคลับครั้งนี้ ว่าเป็นก้าวใหญ่ของวงการ K-pop ก็ไม่ผิดเท่าไหร่นัก เมื่อไฟแห่งการต่อสู้จุดติดขึ้นท่ามกลางความเจ็บปวดของแฟนคลับและศิลปิน จากกรณี ‘ซึงฮัน’ วง RIIZE
เป็นเวลากว่า 10 เดือนที่ ฮง ซึงฮัน (Hong Seunghan) หนึ่งในสมาชิกวง RIIZE ต้องถูกพักงาน อันเนื่องมาจากเรื่องราวในสมัยอดีตที่ถูกนำมาเผยแพร่โดยที่เจ้าตัวไม่ได้ยินยอม และข่าวปลอมต่างๆ ถูกสร้างขึ้นเพื่อทำลายชื่อเสียงตั้งแต่เริ่มเดบิวต์ ทั้งหมดนี้นำไปสู่กระแสวิพากษ์วิจารณ์มากมาย
และหากใครติดตามวงการเกาหลีอยู่บ้าง ก็คงพอจะรู้ได้ว่า ท้ายที่สุด ไม่ว่าจะเรื่องแต่งหรือเรื่องจริง บทสรุปของเหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้ มักจะจบลงด้วยการพักงานแบบไม่มีกำหนด พร้อมจดหมายขอโทษด้วยลายมือจากศิลปิน ซึ่งในครั้งนี้ SM Entertainment ค่ายต้นสังกัด ก็ดำเนินการในรูปแบบเดียวกัน
หลังเดบิวต์เปิดตัววง RIIZE ได้เพียง 2 เดือน วันที่ 22 พฤศจิกายน 2023 เวลา 7 โมง 30 นาที ตามเวลาประเทศไทย ประกาศพื้นหลังสีขาว ข้อความภาษาเกาหลียาว 1 หน้ากระดาษ ขึ้นต้นว่า ‘สวัสดี นี่คือ SM Entertainment’ ถูกโพสต์ลงบนทวิตเตอร์วง RIIZE เนื้อหาด้านในจดหมาย สรุปได้ว่า ซึงฮันจะหยุดดำเนินกิจกรรมของวงแบบไม่มีกำหนด และทางค่ายจะทำการดำเนินคดีกับคนที่ปล่อยข้อมูลของศิลปินแบบไม่ได้รับอนุญาต รวมถึงคนที่ปล่อยข้อมูลเท็จของศิลปิน เพราะถือเป็นการหมิ่นประมาท คุกคาม และอาญชากรรมทางไซเบอร์ ทั้งหมดเพื่อปกป้องศิลปินของเราอย่างสุดความสามารถ
ทำให้หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา RIIZE ได้ดำเนินกิจกรรมกลุ่มเพียง 6 คน ท่ามกลางแฟนคลับที่นับวันเฝ้ารอให้ซึงฮันกลับมา เป็น RIIZE is 7 ด้วยกันอีกครั้ง ในทุกคัมแบ็กที่เกิดขึ้น ทุกแฟนคอนที่ได้แสดง หรือแม้แต่ในวันครบรอบ 1 ปีของการเดบิวต์ มี BRIIZE นับแสนที่เฝ้ารอให้ฮง ซึงฮันขึ้นมายิ้มอยู่บนเวทีไปพร้อมๆ กับทุกคน เราปรารถนาที่จะได้เห็นเขาปรากฏตัวเพื่อเติมเต็มช่องวางบนเวที ให้เขาได้มีโอกาสมองแฟนคลับในฮอลล์ ถือบงสีส้มเปล่งประกาย เหมือนอย่างที่เขาวาดฝันไว้
รอยยิ้มพลันสว่างสดใสขึ้นมา เมื่อในวันที่ 11 ตุลาคม 2024 ประกาศพื้นหลังสีขาวปรากฏขึ้นอีกครั้งบนทวิตเตอร์ของวง มีถ้อยแถลงขึ้นต้นอย่างอบอุ่นว่า ‘ถึง BRIIZE ที่รัก RIIZE’ พร้อมเนื้อหาที่กล่าวถึง การกลับมาร่วมวงของซึงฮัน บทต่อไปของ RIIZE จะมีความหมายมากขึ้น เมื่อสมาชิกทั้ง 7 ได้อยู่ด้วยกัน ขอให้แฟนคลับทุกคนเฝ้ารอ และเชื่อมั่นในการตัดสินใจครั้งนี้
รวมถึงมีจดหมายจากลายมือของซึงฮันเขียนลงใน weverse เริ่มต้นด้วยคำขอโทษจากจริงใจต่อเหตุการณ์ที่ผ่านมา บอกเล่าถึงความสับสนกับสถานะของตัวเอง แต่ท้ายที่สุด เมื่อมีมือของเหล่าเมมเบอร์ยื่นเข้ามาจับไว้ ก็ทำให้เขากล้าที่จะพยายามอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาจะพยายามเป็นเมมเบอร์ที่ดีขึ้น จะทำกิจกรรมด้วยความรับผิดชอบ และหวังว่าในอนาคตจะเป็นหนึ่งในตัวตนที่ RIIZE ขาดไปไม่ได้
ไม่ใช่เพียงแค่ประกาศจากค่าย จดหมายลายมือจากซึงฮัน แต่ยังมีข้อความของพัค วอนบิน (Park Wonbin) สมาชิกวง RIIZE ที่รวบรวมความกล้าออกมาพิมพ์ย้ำให้ทุกคนรู้อีกครั้งว่า ท่ามกลางความสับสนและกังวลใจกับสถานการณ์ที่ผ่านมา ความไม่แน่นอนต่างๆ เกี่ยวกับซึงฮัน พวกเขาทั้ง 7 คนและบริษัท พูดคุยกันอย่างละเอียดอ่อนมาเสมอ ทุกคนตัดสินใจร่วมกันในการกลับมาของซึงฮันครั้งนี้ และที่ต้องออกมาพิมพ์ข้อความเหล่านี้ ก็เพราะอยากบรรเทาและปลอบประโลมจิตใจที่สับสนของ BRIIZE แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี RIIZE คงจะอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ถ้าไม่มี BRIIZE อยู่เคียงข้าง ได้โปรดมองพวกเราด้วยความอบอุ่นเหมือนที่เคยเป็นมา พวกเราสัญญาว่าจะเป็น RIIZE ที่น่าภาคภูมิใจต่อไปในอนาคต
ทว่าใครจะรู้ เมื่อจิตใจมนุษย์นั้นยากแท้หยั่งถึง ท่ามกลางความยินดีของแฟนคลับทั่วโลก กลับมีแฟนคลับในเกาหลีใต้จำนวนไม่น้อย ที่ไม่เห็นด้วยกับการกลับมาของซึงฮัน รวมตัวกันส่งพวงหรีด รถบรรทุกที่มีข้อความขับไล่ ไปวางหน้าค่าย รวมถึงเผยแพร่ถ้อยคำหยาบคายลงบนสื่อสาธารณะ สร้างกระแสความไม่พอใจตีแผ่ออกเป็นวงกว้าง เหล่านี้ล้วนสะท้อนตัวตนของผู้กระทำ และนำมาสู่การตั้งคำถามถึงวัฒนธรรม Cancel ในเกาหลีใต้ ว่าตรงไหนคือเส้นของความพอดี ตรงไหนคือการละเมิดศักดิ์ศรีและสิทธิมนุษยชน
พวงหรีดสาปแช่งให้หายไป ถ้อยคำว่าร้ายให้ถึงชีวิต
นี่คือสิ่งที่มนุษย์คนหนึ่งสมควรได้รับจริงหรือ?
ยังไม่ทันได้คำตอบของคำถาม ในวันที่ 13 ตุลาคม 2024 เวลา 3 ทุ่ม 45 นาที ก็มีประกาศพื้นหลังขาวอีกหนึ่งฉบับจาก Wizard Production ทีมงานที่ดูแลวง RIIZE เนื้อหาในประกาศเริ่มต้นด้วยการกล่าวขอโทษกับแฟนคลับ และบอกเล่าว่าหลังจากตรวจสอบกระแสตอบรับของแฟนๆ จากการกลับมาของซึงฮันแล้ว ทางทีมตระหนักว่าการตัดสินใจนั้นสร้างความสับสนและเจ็บปวดให้กับแฟนๆ มากขึ้น ในขณะเดียวกันซึงฮันก็ได้แจ้งให้สมาชิกทราบอย่างชัดเจนว่า เขาจะออกจาก RIIZE ทางทีมงานเคารพการตัดสินใจของซึงฮัน และจะพยายามอย่างหนักเพื่อนสนับสนุน RIIZE ต่อไปในอนาคต
ไม่นานนักก็มีจดหมายลายมือจากซึงฮันออกมา เนื้อหาเป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้ คือซึงฮันออกมากล่าวขอโทษอย่างจริงใจอีกครั้ง ที่ทำให้ทุกคนเจ็บปวดและสับสน ขอโทษที่ทำให้เมมเบอร์และบริษัทเดือดร้อน ขอโทษที่คิดถึงแต่ตัวเองมากเกินไป ความกังวลและรู้สึกผิดที่ถาโถมเข้ามา ทำให้เขาตัดสินใจออกจากวง พร้อมขอบคุณเมมเบอร์ที่อยู่เคียงข้างกันเสมอมา แต่เพราะไม่อยากให้ความสัมพันธ์ระหว่าง RIIZE และ BRIIZE ที่คอยสนับสนุนวงเสมอมาต้องแย่ลง จึงตัดสินใจลาออก และขอให้ทุกคนช่วยมอบความรักให้กับ RIIZE ต่อไปในอนาคต ตัวเขาเองก็จะทำแบบนั้นเช่นกัน
3 ฉบับ คือ จำนวนจดหมายจากลายมือของซึงฮัน เนื้อหาภายในจดหมายเหล่านั้นเต็มไปด้วยถ้อยคำขอโทษต่อแฟนคลับและสมาชิกนับครั้งไม่ถ้วน ความผิดพลาดในอดีตที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความสามารถของเขา ทว่าความคาดหวังในตัวตนของไอดอลเกาหลี มีมากกว่าแค่การแสดงความสามารถบนเวที นำมาสู่กระแสกดดัน ถ้อยคำหยาบคาย การสาปแช่ง ไล่ออกจากวง และมากถึงขั้นไล่ให้หายไปจากโลกนี้
การสู้กลับของแฟนคลับ สู่สาธารณชน
คำถามมากมายผุดขึ้นท่ามกลางประกาศล่าสุดว่าซึงฮันจะไม่กลับมาเป็นสมาชิกของวง RIIZE
‘ทำไมเสียงของคนเพียงกลุ่มเดียว ถึงมีอำนาจในการตัดสินใจชีวิตของคนคนหนึ่งได้มากขนาดนี้?’
‘วงการ K-pop และประเทศเกาหลีใต้กำลังบ่มเพาะสังคมแบบไหนอยู่?’
‘การดำเนินการทางกฎหมายต่อคนที่ว่าร้ายคนอื่นถึงขั้นไล่ให้หายไปจากโลกใบนี้ยังมีอยู่ไหม?’
นี่ไม่ใช่เพียงแค่การทะเลาะกันของแฟนคลับอีกต่อไป แต่เป็นการยกระดับ ตั้งคำถามต่อมาตรฐานวงการ K-pop ขอบเขตของการเป็นแฟนคลับ รวมถึงมารยาทพื้นฐานของการอยู่ร่วมกันในสังคม
การสู้กลับของเหล่าแฟนคลับที่ไม่เห็นด้วยต่อการกระทำที่ละเมิดศักดิ์ศรี และลิดรอนอนาคตของคนคนหนึ่ง เริ่มต้นจากคลื่นลูกเล็กๆ ที่มีพลังมหาศาล อย่างการอันฟอลโล่วบัญชีโซเชียลมีเดียต่างๆ ของวง เพื่อประกาศจุดยืนสนับสนุน RIIZE is 7 และเริ่มการเทรนด์แท็กในทวิตเตอร์ เช่น #AlwaysWithSeunghan #SMSupportsBullying #JUSTICE_FOR_SEUNGHAN ควบคู่กับข้อความ BRING SEUNGHAN BACK และ RIIZE is 7 ซึ่งทั้งหมดที่ว่ามานี้ ติดอันดับเทรนด์ยอดนิยมในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลต่อการความสนใจของคนหลายประเทศ และไม่ใช่เพียงแค่แฟนคลับที่ให้ความสนใจกับเหตุการณ์นี้
การโดเนทเงินเพื่อส่งรถบรรทุกไปหน้าตึก SM คือสิ่งที่เกิดขึ้นในเช้าของวันถัดมา ทั้งรถจากแฟนคลับเกาหลีที่รอคอยการกลับมาของซึงฮัน หรือรถจากแฟนคลับต่างประเทศที่ร่วมกันโดเนท ล้วนเดินหน้าเพื่อประกาศก้องให้ต้นสังกัดอย่าง SM Entertainment และซึงฮันรับรู้ว่ามีแฟนคลับอีกมากมายรอการกลับมาของเขาอยู่ ความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นนี้ พวกเรากำลังเรียกร้องคืนให้
อย่างที่กล่าวไปแล้วว่าคลื่นลูกเล็กๆ ของการเทรนด์แท็ก ทำให้ไม่ใช่เพียงแฟนคลับที่สนใจสิ่งนี้ แต่นำมาสู่การตั้งคำถามถึงอำนาจของแฟนคลับเกาหลีกลุ่มเล็กๆ ว่าเกินขอบเขตที่ควรจะเป็นหรือไม่ เกิดการร่วมใจของแฟนคลับทั้งวงการ K-pop ที่ออกมาช่วยเรียกร้อง และประกาศให้คนรับรู้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้อง
ก่อนหน้านี้มีศิลปินอีกมากมายที่ต้องเจ็บปวดจากความเข้าใจผิด ข่าวปลอม หรือเรื่องส่วนตัวอย่างการออกเดต และพวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะได้เอ่ยปากปกป้องตัวเอง อยู่ดีๆ ถ้อยคำโจมตีว่าร้าย ขับไล่ออกจากวงการ รวมถึงไล่ให้หายไปจากโลกใบนี้ก็ถาโถมเข้ามาใส่แบบไม่ทันตั้งตัว การออกมาร่วมแสดงให้โลกรับรู้ว่าวงการไอดอลเกาหลีนี้กับกำลังบิดเบี้ยวไปแบบใด จึงถือเป็นก้าวยิ่งใหญ่ที่กำลังเกิดขึ้น
บ้านเบส แฟนคลับของศิลปินเกาหลีหลายต่อหลายบ้าน ทั้งในไทยและต่างประเทศ ออกมาเขียนสเตทเมนท์ไม่สนับสนุนความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับซึงฮัน ทั้งทางกาย วาจา บนหน้าสื่อโซเชียลมีเดีย บนถนนหน้าตึก SM รวมถึงเรียกร้องให้ SM Entertainment ทบทวนบทบาทและการกระทำของตัวเองว่ากำลังพาวงการ K-pop ก้าวไปสู่จุดใด
แรงกระเพื่อมจากทั่วโลก สเตทเมนท์นับร้อยของบ้านแฟนคลับต่างๆ ทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์แบบและเกินคาด จนในตอนนี้มีคนร่วมลงชื่อในเว็บไซต์ change.org กับแคมเปญ We want seunghan back! Riize is 7 กว่า 270,000 คน
คลื่นลูกถัดมาที่ใหญ่กว่าเดิม คือการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรมที่ต้องอาศัยความใจแข็งและการต่อสู้ภายในจิตใจของตัวเอง อย่างการประกาศบอยคอตสินค้าของวง เพื่อแสดงเจตนารมณ์ว่าจะสนับสนุน RIIZE ในตอนที่มี 7 คนเท่านั้น ความใจกล้าในการแคนเซิลออเดอร์สินค้าที่สั่งไป ความใจแข็งที่จะไม่สนับสนุนสินค้าของศิลปินที่เรารัก นับเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่และสำคัญมากที่สุด
การคำสั่งยกเลิกอัลบั้มนับหมื่นจากทั่วโลก ส่งผลให้ร้านค้าในต่างประเทศมากมาย ทั้งฝั่งยุโรป อเมริกา ออสเตรเลีย เอเชีย รวมไปถึงร้านพรีออเดอร์ไทยนับสิบๆ ร้าน ต่างพากันออกประกาศว่าจะบอยคอตสินค้าเหล่านี้ด้วยเช่นกัน เพื่อเป็นแสดงความเคารพต่อลูกค้าและศิลปิน
อาจฟังดูเจ็บปวด และแน่นอนว่าแฟนคลับหลายคนก็รู้สึกเจ็บปวดที่ต้องทำแบบนี้ แต่เพื่อการแสดงถึงเจตจำนง และประกาศจุดยืนที่แน่วแน่ของตัวเอง การยกเลิกออเดอร์ในวันนี้ ถือเป็นการประท้วงในรูปแบบสันติวิธีที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่แฟนคลับคนหนึ่งจะทำได้แล้ว เพราะมันยังไม่สายหากวันข้างหน้าเราจะพรีออเดอร์สินค้านี้ใหม่ แต่มันจะสายแน่ๆ ถ้าวันนี้เราไม่ได้แสดงออกเคียงข้างศิลปินที่เรารัก ทั้งนี้ การบอยคอตก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่แฟนคลับแต่ละคนมีอำนาจในการตัดสินใจเป็นของตัวเอง เราย่อมมีสิทธิ์เลือกทางที่ตัวเองสบายใจที่จะทำ
เสียงของแฟนคลับและสาธารณชน ดังก้องสู่เบื้องบน ไม่ใช่แค่ในการรับรู้ของแฟนคลับตัวเล็กๆ แต่ศิลปินจำนวนไม่น้อยก็มองเห็นการต่อสู้เหล่านี้ หนึ่งในนั้นคือเจ พัค (Jae Park) ผู้เคยเผชิญหน้ากับความโหดร้ายของวงการไอดอลมาก่อน เขาได้แสดงความคิดเห็นต่อกรณีนี้ไว้ว่า “คนเราเติบโตขึ้นจากความผิดพลาด ใครจะสนับสนุนเราต่อไหมนั่นเป็นเรื่องของเขา”
และ “พวดหรีดบ้าๆ พวกนั้นมันน่าขยะแขยงมาก คนที่ส่งดอกไม้พวกนั้นมาเป็นคนแรกควรจะรู้สึกแย่กับการกระทำของตัวเอง ขอพระเจ้าโปรดอย่าให้เกิดเรื่องราวอะไรแย่ๆ ขึ้นเลย ผมเคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน มันเกือบจะเกิดอะไรแย่ๆ ขึ้นแล้ว ผมคิดภาพไม่ออกด้วยซ้ำว่าเด็กๆ อายุเท่านั้น จะรู้สึกกับมันมากขนาดไหน… ใครก็ตามที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการส่งพวกหรีดพวกนี้มา ควรโดนข้อหาพยายามฆ่าด้วยซ้ำ”
ถ้อยคำที่เจทวีตลงบนทวิตเตอร์ของตัวเอง เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีถึงความโหดร้ายที่สังคมเกาหลีมีต่อวงการไอดอลซึ่งมีนานหลายทศวรรษ เหล่านี้นำไปสู่อีกหลายคำถามต่อสังคมเกาหลีได้ ว่าจะต้องมีอีกกี่ความสูญเสียเกิดขึ้น เพียงเพราะไอดอลเหล่านั้น ไม่เป็นไปตามแบบแผนที่พวกเขาต้องการ และเมื่อไหร่กันที่วงจรความโหดร้ายนี้จะสิ้นสุดลง
หลังการทวีตของเจไม่นาน สื่อเกาหลีหลายแห่ง เริ่มทำข่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งนั้นนับว่าล่าช้ากว่าสื่อต่างประเทศหลายสำนัก สื่อในไทยทำข่าวตั้งแต่วันแรกที่เกิดเรื่อง สื่อฝั่งยุโรปทำข่าวตั้งแต่เกิดการบอยคอตขึ้นในต่างประเทศ แม้จะทำช้ากว่าสื่อต่างประเทศไปสักหน่อย แต่ก็นับเป็นเรื่องดี ที่มีอีกเสียงสะท้อนไปถึงค่ายต้นสังกัดของซึงฮัน ให้ขยับตัวกับเรื่องที่เกิดขึ้น
จากนั้น ในเวลา 4 โมงเย็น ตามเวลาประเทศไทย SM Entertainment ก็ออกมาลงประกาศอีกครั้ง ผ่านบัญชีโซเชียลมีเดีย SMTOWN เนื้อหาด้านในกล่าวถึง การจะดำเนินการทางกฎหมายกับข้อความว่าร้ายต่อซึงฮัน นับตั้งแต่เดบิวต์เป็นต้นมา ทั้งการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ การโจมตีด้วยคำพูด การใส่ร้ายอย่างต่อเนื่อง และจะดำเนินการอย่างเคร่งครัดหากพบการละเมิดเหล่านี้ โดยไม่ประนีประนอม
อีกทั้งยังลงประกาศผ่านบัญชีโซเชียลมีเดีย RIIZE ในเวลาเดียวกัน เนื้อหาเกี่ยวกับการดำเนินการทางกฎหมายที่คล้ายคลึงกัน เพียงแต่ในประกาศนี้ มีวงเล็บรายชื่อสมาชิกวงไว้เพียง 6 คน
ในวันที่ 17 ตุลาคม 2024 บ้านแฟนคลับซึงฮันและกลุ่มคนรัก RIIZE ทั้ง 7 ได้การประกาศข้อเรียกร้องเรียกร้องต่อ SM Entertainment ซึ่งมีจำนวนเพียง 5 ข้อ แต่ทุกข้อแจ่มชัดและหนักแน่นถึงความต้องการของพวกเขา
ข้อ 1 พวกเขาต้องการคำขอโทษอย่างเป็นทางการจากต้นสังกัด เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงให้กับซึงฮัน
ข้อ 2 เปิดเผยข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับการดำเนินคดีทางกฎหมาย
ข้อ 3 ชี้แจงการเผยแพร่บทความการประกาศลาออกของซึงฮันในวันที่ 11 ตุลาคม 2024 และประกาศกลับมาในอีก 30 นาทีต่อมา
ข้อ 4 เปิดเผยไทม์ไลน์ และคำชี้แจงว่าการตัดสินใจกลับมาของซึงฮัน และการลาออกนั้น ได้รับความเห็นชอบจากสมาชิกทั้งหมดหรือไม่
และข้อสุดท้าย ให้ซึงฮันกลับมาทำกิจกรรมร่วมกับ RIIZE
นอกจากนี้ยังมีการวางแผนสำหรับการเรียกร้องต่อไปในอนาคต รวมไปถึงการประท้วงเพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่หน้าตึก SM อีกด้วย
ในตอนนี้ แม้จะผ่านมาแล้วกว่า 5 วัน แต่การเรียกร้องยังคงดำเนินต่อไป และมันจะนานตราบเท่าที่ฮง ซึงฮันจะได้รับโอกาสของตัวเองกลับคืนมา
ทั้งหมดคือย่างก้าวใหม่แห่งการเปลี่ยนแปลงวงการ K-pop ไม่ใช่เพียงแค่การเรียกร้องเพื่อคนคนเดียว แต่หากการเรียกร้องในครั้งนี้สัมฤทธิผล อนาคตเราคงได้เห็นการตื่นตัว และการตระหนักถึงความโหดร้ายในวงการไอดอลกันมากยิ่งขึ้น
ในวันนี้แม้จะยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน ว่าผลสุดท้ายการเรียกร้องนี้จะจบลงอย่างไร ทว่าอย่างน้อยที่สุดเสียงของแฟนคลับตัวเล็กๆ ก็สะท้อนก้องขึ้นมาให้โลกได้รับรู้แล้ว และแรงกระเพื่อมจากคลื่นลูกเล็กๆ เหล่านี้ คงสร้างความเปลี่ยนแปลงให้วงการ K-pop ไว้ไม่มากก็น้อย
อ้างอิงจาก