อาการกลัวตาย คือความกลัวที่ซ่อนเร้นอยู่ลึกๆ ภายในเซลล์ประสาทของมนุษย์ทุกคน
ถึงขนาดที่ว่าประชากรโลกราว 10% มีอาการเราตื่นตระหนก และสั่นกลัว เมื่อนึกถึงเรื่อง ‘ความตาย’ ตามรายงานการวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Comprehensive Psychiatry จนทางจิตวิทยาถืออาการกลัวตายนี้เป็นโรควิตกกังวลประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ‘Thanatophobia’
จริงอยู่ที่คนบางคนก็ยอมรับในความไม่เที่ยงของสังขาร และสามารถก้าวผ่านอาการกลัวตายนี้ไปได้ แต่ข้อมูลทางสถิติที่สำรวจชาวอเมริกันกว่า 2,000 คนกลับชี้ว่ามีผู้คนมากกว่า 33% อยากจะรับประทานยาวิเศษที่จะทำให้พวกเขามีชีวิตเป็นอมตะ ถ้าหากยานี้มีอยู่จริง ซึ่งนั่นอาจทำให้มนุษยชาติได้เข้าใกล้กับการค้นพบวิธีการที่ทำให้มีชีวิตยืนยาวหลักหมื่นปี ไม่ต่างอะไรจากการดื่มน้ำอมฤตในตำนาน
ทั้งนี้เราต้องเข้าใจก่อนว่าในมุมมองทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันไม่ได้มองว่า ‘ความชรา’ และ ‘ความตาย’ เป็นสัจธรรมที่มนุษย์ทุกคนต้องเจอ แต่เป็น ‘โรค’ ที่เกิดจากการเสื่อมสภาพของเซลล์เมื่อเรามีอายุมากขึ้น อันเป็นผลจากกระบวนการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตตลอดหลายพันล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งเอนเอียงให้สิ่งมีชีวิตลงทุนกับการ ‘สืบพันธุ์’ ออกลูกออกหลาน มากกว่าที่ยืดอายุสิ่งมีชีวิตให้ยืนยาวขึ้น
เนื่องจากการสืบพันธุ์นั้นใช้พลังงานและทรัพยากรน้อยกว่าการรักษาร่างกายของสิ่งมีชีวิตให้คงที่ไปเรื่อยๆ แถมยังช่วยให้เกิดการวิวัฒนาการความสามารถหรืออวัยวะใหม่ๆ กับประชากรรุ่นถัดไป ซึ่งช่วยให้สิ่งมีชีวิตปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย
เพราะฉะนั้นแล้ว ‘โรคชรานี้’ จึงเหมือนเป็นปัญหาด้านซอฟต์แวร์ มากกว่าที่จะเป็นปัญหาด้านฮาร์ดแวร์ของสิ่งมีชีวิต ซึ่งสามารถแก้ไขได้ โดยที่ไม่ขัดต่อกฎทางฟิสิกส์ใดๆ ของจักรวาล

ล่าสุดเมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้วงการแพทย์เพิ่งค้นพบว่ายา ‘ราปามีซิน’ (Rapamycin) ที่ปกติใช้เป็นยากดภูมิคุ้มกันสำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะ กลับมีความสามารถที่ช่วยยืดอายุขัยของสัตว์ทดลองต่าง ๆ ตั้งแต่ ยีสต์ แมลงวัน ไปจนถึงหนูทดลองได้มากถึง 10-15% ของอายุขัยเฉลี่ย
โดยตัวยาราปามีซีนทำงานโดยการหลอกกลไกภายในเซลล์ของร่างกายว่า กำลังขาดแคลนทรัพยากรอาหาร ทำให้ระบบต่างๆ โฟกัสไปที่การซ่อมแซมเซลล์และปรับสมดุลระบบภูมิคุ้มกัน มากกว่าการเจริญเติบโตและการสืบพันธุ์ เพราะหากสิ่งมีชีวิตล้มตายลงจากการขาดแคลนทรัพยากรไปก่อน ก็จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายในการสืบพันธุ์ได้
แต่ตัวยาราปามีซีนยังคงต้องอาศัยการทดลองและศึกษาอีกมากกว่าที่ยืนยันได้ว่าจะสามารถนำมาใช้กับมนุษย์หรือไม่ โดยเบื้องต้นจะมีการนำไปทดลองกับสุนัขเลี้ยงก่อน ซึ่งคาดว่าผลการศึกษาจะออกมาในช่วงปี 2027
นอกจากนี้เรายังค้นพบว่าหากเราสามารถนำสิ่งที่เรียกว่า ‘เซลล์เสื่อมสภาพ’ (Senescent Cells) ออกไปจากร่างกายได้ ก็จะสามารถช่วยให้ร่างกายชะลอความแก่ชราลงได้ เพราะเซลล์เสื่อมสภาพคือเซลล์ที่ไม่สามารถแบ่งตัว และไม่ยอมทำลายตัวเองเหมือนเซลล์ปกติ จนกองตัวรวมกันอยู่ในร่างกายและปล่อยสารที่ทำให้เกิดการอักเสบระดับเซลล์ออกมา กระตุ้นให้เซลล์รอบข้างกลายเป็นเซลล์เสื่อมสภาพตามไปด้วย นักวิทยาศาสตร์จึงเรียกเซลล์เสื่อมสภาพนี้ว่า ‘เซลล์ซอมบี้’
แต่ก็ไม่ถึงขนาดที่ว่าเซลล์เสื่อมสภาพจะกลายไปภัยคุกคามร้ายรายแรงรักษาได้ยากแบบเซลล์มะเร็ง อันที่จริงแล้วงานวิจัยยังพบว่า เซลล์เสื่อมสภาพนี่แหละคือระบบที่ร่างออกแบบมาให้ต้านทานการเกิดเซลล์มะเร็ง ซึ่งระบบภูมิคุ้มของเรานั้นมีกลไกในการกำจัดเซลล์เสื่อมสภาพนี้ออกไปได้อย่างช้า ๆ ตามธรรมชาติอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกันของแต่ละบุคคล
โดยนักวิทยาศาสตร์ต้องการที่จะเร่งกระบวนการกำจัดเซลล์ซอมบี้นี้ออกไปด้วยกลุ่มยาที่มีชื่อว่า ‘ซีโนไลทิคส์’ (Senolytics) ซึ่งเพิ่งได้รับค้นพบเมื่อปี 2015 ถึงกระนั้นนักวิทยาศาสตร์ก็ดันมาติดหล่มที่ว่าเซลล์เสื่อมสภาพนั้น มีความหลากหลายของประเภทมากเกินกว่าที่จะใช้ยาตัวเดียวในการกำจัดเซลล์พวกนี้ได้ทั้งหมด

ขณะที่นักวิจัยก็ยังต้องระวังไม่ให้กำจัดเซลล์เสื่อมสภาพออกไปมากเกินไป หรือเผลอไปกำจัดเซลล์ปกติ จนเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดเซลล์มะเร็งขึ้น ทำให้การพัฒนายาเป็นไปอย่างจำกัดจำเขี่ยในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์จึงเริ่มมองไปที่เทคโนโลยีใหม่อย่าง CAR T Cells ซึ่งเป็นกระบวนการภูมิคุ้มกันบำบัดที่ไว้ใช้รักษาโรคมะเร็ง ที่สามารถช่วยกำจัดเซลล์เสื่อมสภาพได้อย่างแม่นยำอีกด้วย
โดยงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารด้านชีววิทยาระดับแนวหน้าอย่าง Nature ในปี 2024 ซึ่งสถาบันวิจัย Cold Spring Harbor Laboratory (CSHL) ผู้รังสรรค์งานวิจัยเรื่องการใช้ CAR T Cells ยืดอายุขัยนี้กล่าวว่า เราสามารถตั้งค่าโปรแกรมเม็ดเลือดขาวให้เข้าไปจัดการเซลล์เสื่อมสภาพที่ต้องการไว้ได้
ถึงขั้นที่ว่าเมื่อในไปทดสอบในหนูทดลองแล้วอย่างต่อเนื่องแล้ว พบว่าหนูทดลองแก่ช้าลงจริง ๆ และหนูที่มีอายุมากอยู่แล้วก็สามารถกลับโลดแล่นเหมือนหนูวัยหนุ่มได้อีกครั้ง โดยไม่มีวิธีการไหนเคยให้ผลดีเท่ากับการใช้ CAR T Cells มาก่อน ทั้งยังพบผลข้างเคียงใด ๆ กับสัตว์ทดลองอีกด้วย
จนบางคนมองว่า
กระบวนการนี้เป็นหนึ่งในวิธีการที่ทำให้เราเข้าใกล้
กับการสร้างน้ำอมฤตมากที่สุดแล้วในปัจจุบัน
ทว่าแม้เราจะกำจัดเซลล์เสื่อมสภาพไปได้มากเท่าใด เมื่อเวลาผ่านไป ร่างกายก็จะผลิตเซลล์เสื่อมสภาพออกมาในปริมาณรวดเร็วมากขึ้นเท่านั้น กล่าวคือ ยิ่งเราแก่ตัวลง เซลล์เสื่อมสภาพก็จะยิ่งมากขึ้น จนแม้แต่ระบบภูมิคุ้มกันและวิธีการรักษาของเรานั้นก็ไม่สามารถรับมือและฟื้นฟูร่างกายที่เสียหายได้ทัน อย่างดีที่สุดเราอาจจะยืดอายุขัยของมนุษย์ออกไปได้ประมาณ 120 ปี
โดยต้นตอสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเซลล์เสื่อมสภาพมากขึ้นนั้นก็เป็นเพราะว่า ‘เทโลเมียร์’ ตำแหน่งสำคัญ ณ ปลายสุดของโครโมโซมในเซลล์นั้น มีความยาวที่สั้นลงตามกาลเวลา ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ เทโลเมียร์ก็เหมือนกับ ปลอกพลาสติกที่หุ้มปลายเชือกรองเท้า ที่ทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้เชือกหลุดลุ่ยออกมา
และเมื่อเทโลเมียร์หายไปเซลล์ก็จะเริ่มทำลายตัวเอง หรือไม่ก็กลายเป็นเซลล์เสื่อมสภาพที่ไม่สามารถแบ่งตัวได้อีกต่อไป ซึ่งในปัจจุบันเรายังไม่มีวิธีการที่จะเพิ่มความยาวของเทโลเมียร์ให้กับมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากร่างกายของเรามีเซลล์มากกว่า 30 ล้านๆ เซลล์โดยเฉลี่ย เกินกว่าที่เราจะแก้ไขยีนของเซลล์ทุกเซลล์ได้หมด ความก้าวหน้าที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือการตัดต่อพันธุกรรม ‘ไซโกต’ หรือเซลล์ที่เพิ่งได้รับการปฏิสนธิของหนูทดลอง ก่อนเริ่มการแบ่งตัวพัฒนาไปเป็นอวัยวะต่างๆ ให้มีเทโลเมียร์ยาวขึ้น จนอายุขัยของหนูทดลองยืนยาวกว่าปกติ 30-40% จริงๆ
ฉะนั้นแล้วการแก้ไขความยาวของเทโลเมียร์จึงเป็นกำแพงด่านสุดท้ายที่ขว้างกั้นความเป็นอมตะของมนุษย์อยู่ เสมือนปัญหาด้าน ‘ซอฟต์แวร์’ ของสิ่งมีชีวิตที่กล่าวไปข้างต้น

หากเราสามารถคิดค้นวิธีโปรแกรมเซลล์เราได้สำเร็จจริง ศาสตราจารย์ ฮวน เพโดร เดอร์ เมกาลเอส (João Pedro de Magalhães) จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม สหราชอาณาจักร ผู้เชี่ยวชาญด้านชีวชราภาพวิทยากล่าวว่า มนุษย์อาจมีอายุยืนได้ถึง 20,000 ปี เมื่อคำนวณจากความเสี่ยงจากอุบัติเหตุและอัตราการรอดชีวิตในปัจจุบัน
โดยความพยายามทั้งหมดที่กล่าวมานี้สอดคล้องกับการเติบโตของเศรษฐกิจ ‘Anti-aging’ หรือเวชศาสตร์ชะลอวัย ที่มีมูลค่ามากกว่า 47,000 ล้านดอลล่าร์สหรัฐในปี 2023 ด้วยการเม็ดเงินลงทุนจากเศรษฐีชื่อใหญ่ ๆ ตั้งแต่เจฟ เบซอส (Jeff Bezos) ผู้ก่อตั้งแอมะซอน (Amazon) ตลอดไปจนถึง แลรี่ เพจ (Larry Page) ผู้ก่อตั้งกูเกิล เพื่อทำให้มนุษย์มีชีวิตยืนยาวมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
ท้ายที่สุดแล้ว มนุษย์อย่างเราๆ อาจจะไม่ได้ถวิลหาชีวิตที่เป็นอมตะเสมอไป เพราะจากเก็บสถิติของชาวอเมริกันข้างต้นที่ชี้ว่ามีคนกว่า 33% ต้องการที่จะเป็นอมตะนั้น กลับซ่อนข้อมูลอีกชุดที่น่าสนใจว่า คนสูงวัยที่เข้ามาทำแบบสำรวจมีแนวโน้มที่จะไม่อยากเป็นอมตะมากกว่าคนหนุ่มสาว กล่าวคือ ยิ่งคนมีอายุเยอะมากเท่าใด ก็ยิ่งมีสัดส่วนของคนที่ไม่อยากจะเป็นอมตะมากขึ้นเท่านั้น
ดังนั้นแล้วน้ำยาอมฤตที่มนุษย์ควานหานั้น อาจเป็นแค่ยาที่ช่วยยืดอายุเราออกไป จนกว่าเราจะพอใจกับการมองดูโลก การอยู่กับคนที่เรารัก การใช้เวลาร่วมกับคนที่เราหวนแหน และยอมโอบกอดความตายอย่างสงบสุขในท้ายที่สุดก็ได้ ไม่ได้เป็นแค่ความละโมภโลบมากที่อยากจะอยู่ค้ำฟ้าไปตลอดกาลเสมอไป
อ้างอิงจาก