หากไม่มีกระจกเงาเราคงไม่รู้จักหน้าตาตัวเองอย่างที่เป็นอยู่ อารยธรรมมนุษย์อาจมีเส้นทางแตกต่างออกไป ทั้งเรื่องแฟชั่น ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ไปจนถึงการสร้างความหมายให้กับตัวตนของเราเอง ประวัติศาสตร์ของกระจกจึงไม่ใช่เพียงเรื่องการผลิตวัตถุ แต่คือการพัฒนาความเข้าใจที่มนุษย์มีต่อตัวเองมาตลอดหลายพันปี
ไม่ใช่ว่ามนุษย์เราจะไม่มีไอเดียภาพสะท้อนของตัวเองเลย เหมือนหมาแมวที่ตกใจภาพสะท้อนของตัวเองในกระจก เรารู้ว่าจักหาพื้นผิวสะท้อนภาพ รู้จักใบหน้าตัวเองผ่านภาพสะท้อนนั้น ผ่านกระจกธรรมชาติอย่างผิวน้ำที่สงบนิ่งตามแหล่งน้ำต่างๆ ทำให้มนุษย์เริ่มตั้งคำถามกับรูปลักษณ์และตัวตน
แต่ถ้าไม่ใช่กระจกธรรมชาติล่ะ เราเริ่มประดิษฐ์กระจกกันตั้งแต่ตอนไหน?

ประมาณ 600 ปีก่อนคริสตกาล พวกเขาใช้หินออบซิเดียนทำหน้าที่สะท้อนเงา เช่นเดียวกับสิ่งประดิษฐ์ทั้งหลาย ในช่วงแรกมันอาจไม่ได้เป็นกระจกบานใส คมชัดระดับ HD อย่างที่เราคุ้นชินกัน แต่มันก็เพียงพอที่จะทำหน้าที่สะท้อนภาพได้ สำหรับการแต่งกายหรือประกอบพิธีกรรม
ต่อมาเป็นคิวของโลหะ สำริด ทอง เงิน และตะกั่ว วัสดุที่มีลักษณะมันวาว สะท้อนแสงได้ดี หากนำไปขัดเรียบ แต่ด้วยน้ำหนักมากทำให้ขนาดถูกจำกัดให้เล็กลงตามไปด้วย
แล้วใครกันเล่าจะมีเวลาประณีตกับการแต่งองค์ทรงเครื่อง ใส่ใจความสวยความงาม ได้เท่าเหล่าชนชั้นสูง ผู้มีอันจะกินทั้งหลาย กระจกยุคแรกไม่ได้เป็นแค่ของใช้ แต่เป็นสัญลักษณ์ของอำนาจที่ถูกใช้ในพิธีกรรมต่างๆ ถูกฝังไปกับกษัตริย์และชนชั้นสูง และเป็นอีกหนึ่งของฟุ่มเฟือยที่ไม่ใช่จะมีกันได้ทุกคน ชาวบ้านร้านตลาดก็ต้องตักน้ำใส่กระโหลกชะโงกดูเงาจริงๆ ไม่ใช่แค่ในสำนวน

กระจกจากหินหรือโลหะ แม้จะใช้ได้แต่ก็ยังมีข้อจำกัดมากมาย จึงมีการคิดค้นพัฒนาไปเรื่อยๆ จนมาถึงยุคกระจกจากแก้ว
ชาวโรมันผู้บุกเบิกการทำกระจกจากแก้ว ได้ทดลองเคลือบด้านหลังแผ่นแก้วบางๆ ด้วยโลหะอย่างตะกั่วหรือทอง ปรากฏว่าเวิร์กใช่ย่อย ใช้งานได้ดีขึ้น น้ำหนักน้อยลงกว่าโลหะเป็นชิ้นๆ (เพราะเหลือเพียงโลหะเคลือบบางๆ ด้านหลัง) แต่กระบวนการผลิตให้รอดทุกชิ้นเป็นไปได้ยากมาก เลยยังต้องลองผิดลองถูกกันไปเรื่อยๆ กระจกในสมัยนี้เลยสะท้อนให้เห็นอารยธรรมโรมันที่รุ่งเรืองทั้งด้านสถาปัตยกรรม ศิลปะ และวิศวกรรม
จนกระทั่งศตวรรษที่ 13 กระจกได้ก้าวไปข้างหน้าอีกหนึ่งก้าว เกาะมูราโน่ เมืองเวนิส กลายเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีกระจกใสไร้ที่ติ ด้วยความเชี่ยวชาญเทคนิคการเคลือบด้านหลังของกระจกใสด้วยดีบุกและปรอทบางๆ ทำให้เกิดกระจกที่ไม่เพียงแต่แม่นยำยิ่งขึ้นเท่านั้นแต่ยังสวยงามอีกด้วย กระจกเวนิสได้รับการยกย่องว่าเป็นงานศิลปะระดับสูงในฝั่งยุโรป จนกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยสำหรับชนชั้นสูงและกษัตริย์

ขยับมาอีกหน่อยในศตวรรษที่ 17 ฝรั่งเศสและอังกฤษ เริ่มพัฒนาวิธีผลิตกระจกแบบแผ่นใหญ่ ผลิตได้จริง ใช้งานได้จริง จนกระจกถูกนำไปใช้ในสถาปัตยกรรม อย่าง พระราชวังแวร์ซายส์ที่เต็มไปด้วยห้องโถงกระจกอันตระการตา
เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 การปฏิวัติอุตสาหกรรมมาถึง ทำให้กระจกถูกผลิตในจำนวนมาก ราคาถูกลง จากของหรูหราในวัง คฤหาสน์ กลายเป็นของใช้ในบ้านแทบทุกครัวเรือนมีใช้กันถ้วนหน้า เมื่อเทคโนโลยีก้าวหน้า วิธีการผลิตกระจกเงาก็ก้าวหน้าตามไปด้วย การใช้สารเคลือบโลหะบนพื้นผิวกระจกได้รับการพัฒนาตามกาลเวลาช่วยยกระดับคุณภาพของกระจกเงา
ปัจจุบัน กระจกสมัยใหม่มักผลิตโดยใช้กระบวนการที่เรียกว่าการเคลือบอะลูมิเนียม เพื่อลดโอกาสที่กระจกจะแตกในระหว่างการผลิตกระจก กระจกจะถูกนำไปใส่ในห้องสุญญากาศ จากนั้นจึงนำวัสดุสะท้อนแสง มาวางบนด้านหลังของกระจก ทำให้เกิดภาพสะท้อนคุณภาพสูงและไม่บิดเบี้ยว

เมื่อกระจกกลายเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ทั่วทุกครัวเรือน มันเข้าไปเติมสีสันให้ทั้งวงการสถาปัตยกรรม ด้วยดีไซน์กระจกบานใหญ่ ให้รู้สึกว่าห้องนั้นโอ่โถงยิ่งขึ้น เข้าไปสะท้อนภาพศิลปินในวงการศิลปะ ตัวช่วยสำคัญในภาพ self-portrait และแทรกซึมลงไปในชีวิตของเราในอีกหลายด้าน กระจกไม่เพียงแต่เป็นภาพสะท้อนของตัวตนทางกายภาพของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนของวัฒนธรรม ศิลปะ และความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อีกด้วย
เมื่อเราจ้องมองวัตถุในชีวิตประจำวันเหล่านี้ เราไม่เพียงแต่เห็นเพียงภาพสะท้อนของตัวเราเองเท่านั้น แต่ยังเห็นประวัติศาสตร์อันยาวนานของกระจกที่กินเวลายาวนานนับพันปีอีกด้วย
อ้างอิงจาก