“สมัยนี้ไม่มีใครดูโทรทัศน์(อย่างจริงจัง)กันแล้วล่ะ”
คงไม่ผิดนักหากมีใครพูดทำนองนี้ขึ้นมาในวันที่โลกเรามีสื่อบันเทิงรอบตัว ตั้งแต่จอใหญ่ยักษ์ฉายทาบทับผนัง จอขนาดย่อมเท่ากระดาษ A4 หรือจอขนาดพอดีมือ เชื่อมโยงอยู่กับโลกออนไลน์ที่พร้อมจะมอบความบันเทิงตามอัธยาศัยทุกที่ทุกเวลา ไม่ต้องรอรายการตามโปรแกรมฉาย ไม่ต้องนั่งทอดหุ่ยเมื่อมีโฆษณาคั่น
นับว่าเป็นพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย เมื่อมีเทคโนโลยีใดมาทดแทนที่เคยมี สิ่งเก่านั้นย่อมเป็นที่นิยมลดลงจนอาจจะจากลาไปได้ในสักวัน ดังที่เกิดขึ้นกับแผ่นซีดี ฟล็อปปี้ดิสก์ เพจเจอร์ หรือสิ่งเก่าอื่นๆ มาแล้ว
แต่ในวันหนึ่งวันนั้นในอดีต วันที่โทรทัศน์ยังครองใจผู้ใช้งานทั่วหัวระแหง กล่องสี่เหลี่ยมฉายภาพและเสียง สะท้อนให้เห็นภาพอีกฝั่งหนึ่งบนจอแก้ว ภาพของครอบครัวนั่งนอนเอกเขนก ล้อมวงจดจ้องมายังภาพตรงหน้า เสียงหัวร่อต่อกระซิกกับเกมโชว์ เสียงเชียร์ฮึกเหิมกับเกมกีฬา เสียงแล้วเสียงเล่า ผ่านวันแล้ววันเล่า ราวกับพื้นที่ตรงนี้เคยเป็นดั่งพื้นที่สำหรับทุกคน
ข้ามผ่านตั้งแต่ภาพขาวดำ สัญญาณซ่าเหมือนเหน็บชายุกยิกในขา จนถึงภาพสี สัญญาณดิจิทัล เปลี่ยนรูปลักษณ์จากกล่องสี่เหลี่ยมหนาเทอะทะ จอแก้วหนานูน เป็นจอแบนราบ บางเฉียบ หลอดภาพสีสันสดใส
ก่อนจะมาเป็นสิ่งให้ความบันเทิงของผู้คนในยุคหนึ่ง ใครจะเชื่อกันว่าเราจะสามารถรับชมภาพใดภาพหนึ่งพร้อมกัน โดยอยู่คนละแห่งหนได้ เพียงอาศัยสัญญาณที่ส่งผ่านอากาศมาเท่านั้น

The Marconiphone 701. Copyright National Media Museum.
ภาพฉายบนกล่องไม้
คงจะเป็นเรื่องยากหากจะระบุอย่างชัดเจนว่าใครคือคนแรกที่ประดิษฐ์โทรทัศน์ขึ้น แหล่งข้อมูลหลายแห่งชี้ตรงกันไปยังช่วงเวลาปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ว่าช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่มีการคิดค้นโทรทัศน์ขึ้น ทั้งแบบบังเอิญและตั้งใจ แต่ถ้าจะให้ใกล้เคียงโทรทัศน์ในแบบที่เรารู้จักและดูเป็นรูปเป็นร่างที่สุด คงจะเป็นผลงานการประดิษฐ์ของ จอห์น โลจี แบร์ด (John Logie Baird) วิศวกรชาวสก็อตแลนด์ ได้พัฒนาวิธีการส่งลำแสงผ่านแผ่นดิสก์ที่หมุนเร็วและมีรูเจาะ เพื่อให้สามารถส่งผ่านและแปลงภาพธรรมดาๆ จนได้เป็นโทรทัศน์เครื่องแรกที่ใช้หลอดรังสีแคโทด เป็นเหมือนเครื่องรับสัญญาณภาพที่ส่งเข้ามา แล้วฉายบนจอให้เราได้ดูอีกทอดหนึ่ง
แม้จะหน้าตาดูเป็นกล่องประหลาดๆ เสียหน่อย แต่เมื่อได้จัดแสดงภาพเคลื่อนไหวทางโทรทัศน์ต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก สิ่งประดิษฐ์นี้ก็ได้รับความสนใจจากสื่อเป็นอย่างมาก กระทั่งผู้จัดการร้านค้าปลีก ได้เชิญแบร์ดไปสาธิตสิ่งประดิษฐ์ใหม่นี้ที่ห้างสรรพสินค้าของเขาบนถนนอ็อกซ์ฟอร์ด ไม่กี่เดือนต่อมา สำนักงานไปรษณีย์ได้อนุญาตให้บริษัทที่เพิ่งก่อตั้งของแบร์ดชื่อ ‘Television Limited’ ทำการถ่ายทอดสัญญาณทดลองระยะสั้นจากสถานที่ต่างๆ ในย่านเวสต์เอนด์
ถึงอย่างนั้นโทรทัศน์แบบกลไกยุคแรก ยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานสำหรับครัวเรือน และคุณภาพของสัญญาณภาพก็ยังไม่คุ้มสำหรับการลงทุนเพื่อใช้ให้ความบันเทิงในบ้าน สิ่งประดิษฐ์นี้จึงเป็นเหมือนต้นแบบในห้องทดลอง ที่มีเพียงแวดวงนักประดิษฐ์ด้วยกันเท่านั้นที่แวะเวียนเข้ามาดู จะได้รับความสนใจเพิ่มเสียหน่อยก็ต่อเมื่อนำเจ้าโทรทัศน์นี้ออกไปสู่สายตาประชาชน ทำให้ผู้คนให้ความสนใจไปที่เนื้อหาที่กำลังฉาย ไม่ได้สนใจถึงนวัตกรรมของโทรทัศน์เท่าไหร่นัก
ในช่วงปี 1930 มีการทดลองออกอากาศในเดือนกรกฎาคม ผ่านสัญญาณวิทยุที่สามารถแพร่ภาพมายังเครื่องรับสัญญาณได้ จากเดิมที่วิทยุทำหน้าที่รับสัญญาณเสียงเท่านั้น แม้ภาพที่ฉายบนโทรทัศน์ผ่านการออกกาศครั้งแรกจะกระท่อนกระแท่น ห่างไกลคำว่าคมชัดไปมาก แต่นับว่าในวันนั้นผู้คนที่ได้ชมการออกอากาศผ่านกล่องไม้ คือผู้ที่ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในก้าวที่ยิ่งใหญ่อีกก้าวของมนุษยชาติ

โทรทัศน์สำหรับใช้งานในบ้าน
เมื่อมีโทรทัศน์ที่สามารถรับสัญญาณภาพและเสียงได้ขึ้นมา จึงตามมาด้วยการพัฒนาระบบถ่ายทอดสด ทั้งในห้องส่งและนอกสถานที่คู่ขนานไปพร้อมกัน (ซึ่งมีรายละเอียดลงลึกไปอีกมาก) เมื่อแบร์ดถือนวัตกรรมชิ้นใหญ่อยู่ในมือแล้วใครกันล่ะที่รับหน้าที่ดูแลด้านธุรกิจ ในขณะที่เขาง่วนอยู่กับการพัฒนาด้านการประดิษฐ์ หน้าที่นั้นอยู่ในมือของ ซิดนีย์ โมสลีย์ (Sydney Moseley) ผู้คร่ำหวอดในวงการสื่อ เข้ามารับหน้าที่ด้านธุรกิจ เจรจาต่อรอง โดยเฉพาะกับสื่อที่ต้องการออกอากาศบนโทรทัศน์
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น ว่าโทรทัศน์ในยุคแรกนั้นไม่ได้ออกแบบมาเพื่อใช้ในบ้าน ทั้งการใช้งานและราคา ไม่มีอะไรเอื้ออำนวยให้มีเจ้าสิ่งนี้ไปตั้งในบ้านเพื่อความบันเทิงเสียด้วยซ้ำ แบร์ดจึงพัฒนาให้โทรทัศน์เป็นมิตรมากขึ้นกว่าเดิม จากกล่องไม้เป็นกล่องดีบุกมาจำหน่ายในราคาที่ถูกลง บริษัทอื่นๆ ก็พยายามพัฒนาให้มันกลายเป็นสินค้าในตลาดใหญ่ แต่ก็ยังนับว่าแพงอยู่ดี การดูโทรทัศน์จึงกลายเป็นกิจกรรมของผู้มีอันจะกินในยุคนั้น ถึงขนาดที่ผู้อำนวยการรายการของบีบีซี ได้กล่าวไว้อย่างขมขื่นว่า
“โทรทัศน์ราคาแพงมากจนกลายเป็นของเล่นของชนชั้นสูง แทนที่จะเป็นหนึ่งในเฟอร์นิเจอร์ในบ้านของชนชั้นกรรมาชีพ”
เพียงไม่กี่ปีต่อมาในปี 1936 โทรทัศน์ใต้ชื่อโมเดล Marconiphone 701 มีลักษณะเป็นตู้ทำจากไม้มะฮอกกานี ใช้หลอดรังสีแคโทดขนาดใหญ่รับภาพอิเล็กทรอนิกส์ สามารถรับสัญญาณทั้งระบบเดิมและระบบ Marconi-EMI ที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ด้วยสายสัญญาณที่มีความคมชัดสูง สลับกันออกอากาศทุกสัปดาห์ในช่วง 4 เดือนแรกของการให้บริการโทรทัศน์จาก Alexandra Palace
คราวนี้ พอมีระบบสัญญาณ 2 แบบออกอากาศสลับกันไปมา พนักงานก็ทำงานกันหัวหมุน เพราะเหมือนต้องทำงานซ้ำซ้อน 2 รอบ การส่งและการรับของคลื่นวิทยุระยะสั้นพิเศษเป็นรากฐานสำคัญของความสำเร็จของทั้ง 2 ระบบ จึงมีการพัฒนาระบบเรดาร์ควบคู่ไปด้วย การขยายตัวของเครือข่ายโทรทัศน์ทั่วสหราชอาณาจักรดำเนินไปได้ด้วยดีในช่วงปลายทศวรรษ 1940 จึงทำให้โทรทัศน์เป็นกิจการระดับชาติอย่างแท้จริง
อีกหนึ่งสิ่งสำคัญที่ผลักดันให้มีการพัฒนาเครือข่ายเครื่องส่งสัญญาณให้ก้าวไปข้างหน้า คือพิธีราชาภิเษกสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 ในปี 1953 เพื่อให้มีการถ่ายทอดสดครอบคลุมทั่วประเทศ ทั้งภาพและเสียงที่มีคุณภาพส่งตรงจากห้องส่งถึงโทรทัศน์ในทุกบ้าน หลังจากนั้นเป็นต้นมา โทรทัศน์และระบบแพร่ภาพก็พัฒนาคู่ขนานเสมอมาอย่างแยกขาดจากกันไม่ได้
นับว่ามันเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่แพร่หลายไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว ลองนึกภาพว่าเราจะได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่อีกซีกโลกหนึ่งทั้งภาพและเสียง เห็นภาพที่เราได้แต่นั่งจินตนาการถึงว่ามันจะหน้าตาแบบใด พอมีโทรทัศน์เข้ามา เราก็สามารถรับชมภาพจากที่บ้านระหว่างกินข้าว พักผ่อน เวลาใดก็ได้ที่เราต้องการ นัยหนึ่งมันคือเครื่องมือสื่อสารกับประชาชนหมู่มาก แล้วทำไมมันถึงจะหยุดอยู่แค่ในหมู่มวลชนชั้นสูงมีอันจะกินกันล่ะ เพียงเพราะมันราคาสูงเกินไปอย่างนั้นหรือ ในแต่ละประเทศจึงแข่งขันกันพัฒนาเพื่อครองตลาด จนโทรทัศน์กลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่เข้าถึงผู้คนได้หลากหลายอย่างแท้จริง

จอแก้วนูนหนาสู่จอแบนเฉียบเรียบโค้ง
ในระหว่างการพัฒนาโทรทัศน์ระบบกลไกของแบร์ด ระหว่างนั้นเองก็มีการพัฒนาโทรทัศน์อิเล็กทรอนิกส์ไปด้วยเช่นกัน โดย ฟิโล เทย์เลอร์ ฟาร์นส์เวิร์ธ (Philo Taylor Farnsworth) เป็นโทรทัศน์ประเภทหนึ่งที่ใช้สัญญาณอิเล็กทรอนิกส์เพื่อสร้างภาพบนหน้าจอวิดีโอ รับภาพและเสียงผ่านคลื่นวิทยุ ไมโครเวฟ หรือรังสีอินฟราเรด
ในช่วงใกล้เคียงกันนั้นมีความพยายามที่จะพัฒนาโทรทัศน์สีขึ้น แต่ก็มีเพียงการจดสิทธิบัตรเท่านั้น ระบบโทรทัศน์สีไฟฟ้าที่ดูจะจับต้องได้ขึ้นมาหน่อย ถูกสร้างขึ้นโดยทีมวิจัยของ RCA Laboratories ในปี 1953 โทรทัศน์สีฉบับสมบูรณ์พัฒนาจากระบบที่ RCA สร้างขึ้นได้เริ่มออกอากาศในโฆษณา
ต่อมาเป็นคราวของทีวีดิจิทัล ในช่วงปลายทศวรรษ 2000 ระบบการส่งและรับสัญญาณโทรทัศน์เปลี่ยนจากสัญญาณอนาล็อกเป็นสัญญาณดิจิทัล ผ่านเครือข่ายภาคพื้นดิน ดาวเทียม หรือเคเบิ้ล นับได้ว่ากลายเป็นจุดพลิกโฉมวงการโทรทัศน์และสื่อ ประเทศที่พัฒนาแล้วส่วนใหญ่และในอีกหลายประเทศทั่วโลก เปลี่ยนผ่านจากระบบอนาล็อกสู่ระบบดิจิทัลได้สมบูรณ์ภายในปี 2010
ในช่วงนี้เป็นช่วงที่โทรทัศน์เริ่มปรับเปลี่ยนจากหน้าจอนูนหลังเต่า มาเป็นจอแบน ด้วยสัญญาณภาพที่ชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งทำให้ผู้ผลิตหันมาให้ความสำคัญกับจอภาพที่แสดงผลได้ดีตามคุณภาพสัญญาณไปด้วย จนทีวีดิจิทัลได้แตกแขนงออกมาเป็นสมาร์ททีวี ที่สามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตบนทีวีได้ มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งมาแล้วในตัว ราวกับเป็นอีกแก็ดเจ็ตหนึ่งบนผนังบ้าน ไม่ใช่เพียงจอรับส่งสัญญาณอย่างที่เคยเป็น
แม้ทุกวันนี้เราจะสามารถทำทุกอย่างบนสมาร์ทโฟนของเราได้ แต่หลายบ้านก็เลือกที่จะมีโทรทัศน์ไว้ในห้องนั่งเล่น ในระยะสายตาเห็นจากโต๊ะกินข้าว เพราะความเคยชินเหล่านี้ไม่เคยหายไป และจะยังคงอยู่กับเราไปอีกนาน ตราบใดที่โทรทัศน์ยังพัฒนาไปพร้อมกับเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เข้ามาได้ไม่รู้จบ
อ้างอิงจาก
Who Invented Television: History of TV
Who Invented Television? | HISTORY