“ในอนาคต ลูกหลานของเราจะเป็นคนที่ไปอยู่ในโลกที่ก้าวไปข้างหน้า ดังนั้น ถ้าเรามัวแต่ให้เขาเรียนในเรื่องของสิ่งที่เคยเรียนมาเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว มันจะสามารถที่จะพัฒนาเด็กๆ เพื่อไปอยู่ในอนาคตได้ยังไง”
เทรนด์คริปโตเคอเรนซี่และบล็อกเชนมาแรงแซงทางโค้งในช่วงปีที่ผ่านมา ทำให้หลายคนสนใจและอยากทำความเข้าใจโลกบล็อกเชนด้วย จนล่าสุด โรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นที่แรกๆ ที่ออกมาประกาศว่า จะจัด ‘โครงการเสริมสร้างความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency’ ให้กับนักเรียนระดับชั้น ม.ปลาย เพื่อพัฒนาความรู้ธุรกิจและทักษะแห่งอนาคต
ยิ่งกว่านั้น โครงการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ถือเป็นการเปลี่ยนภาพจำวิชาการงานฯ ยุคเก่า ด้วยการสอนทักษะความรู้ในโลกอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อมุ่งหวังให้เด็กมีความพร้อมเติบโตมาสู่อนาคตได้
The MATTER จึงมาพูดคุยกับ พชร จันทร์ศิริ หัวหน้ากลุ่มสาระการงานอาชีพ โรงเรียนอัสสัมชัญ เพื่อให้เข้าใจว่าความสำคัญของการให้นักเรียนมาเรียนรู้เรื่องคริปโตเคอเรนซี่และบล็อกเชนในวัยนี้ ทั้งยังเป็นการสะท้อนถึงความสำคัญของการที่โรงเรียนเป็นพื้นที่ที่สนับสนุนเด็กๆ อย่างแท้จริง
แนะนำตัวคร่าวๆ ให้ฟังหน่อย ปกติสอนอะไรบ้าง
ผมเป็นหัวหน้ากลุ่มสาระการงานอาชีพ โรงเรียนอัสสัมชัญ ปกติก็จะสอนวิชาการงานอาชีพระดับพื้นฐาน ชั้น ม.ปลาย แล้วก็มีวิชาที่เกี่ยวข้องกับทางด้านธุรกิจ
‘โครงการเสริมสร้างความรู้ในเรื่องเทคโนโลยี Blockchain และ Cryptocurrency’ ที่ทางโรงเรียนจัดขึ้นมา คืออะไร
ต้องเล่าก่อนว่า จุดเริ่มต้นของโครงการนี้เกิดจากพื้นฐานของทางกลุ่มสาระและวิชาที่ชื่อ ‘การงานอาชีพและเทคโนโลยีพื้นฐาน’ ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็นการเตรียมพร้อมให้กับเด็กๆ ไปสู่อาชีพ ซึ่งตอนนี้ เรื่องของอาชีพในปัจจุบันมันก็มีการพัฒนาเปลี่ยนแปลงไปเยอะมากแล้ว ก็เลยคิดว่า แล้วเราจะเตรียมพร้อมเด็กๆ อย่างไร ให้เท่าทันอาชีพที่เปลี่ยนไปในโลกยุคปัจจุบัน จึงคิดค้นหลักสูตรจากว่า ปัจจุบันโลกเป็นยังไงแล้ว แล้วในอนาคตเด็กๆ ต้องมีทักษะไหนบ้างที่มันเป็น future skills ที่จะเตรียมให้กับเด็กๆ ก็เริ่มปรับเปลี่ยนทั้งในเรื่องของหลักสูตร รวมถึงตัว กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนต่างๆ ให้มันสอดคล้อง
พอช่วงนี้มีเรื่องของเทคโนโลยีบล็อกเชน เราก็เห็นว่า มันเป็นพื้นฐานของนวัตกรรมต่างๆ ที่มันจะเกิดขึ้นต่อไปบนโลก ก็เลยอยากเตรียมพร้อมให้กับเด็กๆ เพราะว่า เขาบอกว่าอีกประมาณ 5-10 ปี Metaverse กำลังจะมาแล้ว ซึ่งบุคลากรหรือว่าคนที่จะไปอยู่ในยุค 5-10 ปีนั้น ก็คือเด็กๆ ของพวกเรา เพราะงั้น ทางโรงเรียนก็เลยมีโครงการนี้เกิดขึ้น
ครูมองเห็นว่า ต้องให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ ?
จริงๆ เราคุยกับเด็กๆ แล้วก็ใกล้ชิดกับเด็กๆ มาก ก็จะรู้ว่า ตอนนี้ เด็กๆ สนใจในเรื่องไหน แล้วก็กำลังจะไปในทิศทางไหน ในเรื่องที่เขาสนใจ จริงๆ ได้ไอเดียมาจากเด็กๆ แหละ เพราะว่าเด็กๆ เล่นก่อนผมอีกนะ อย่างตัวพวกคริปโตเคอเรนซี่ ผมได้ยินครั้งแรกก็จากเด็กๆ เนี่ยแหละว่า ทำอะไรกันนะ เทรดคริปโตเคอเรนซี่ อะไรคือบิทคอยน์ อะไรคือ NFT ก็ได้ไอเดียมาจาก ได้ยินชื่อมาจากเด็กๆ แล้วก็ไปติดตามข่าวสารตัวนี้
แล้วกลายมาเป็นโครงการนี้ได้ยังไง
พอเราคิดว่าอยากจะปูพื้นฐานให้เด็กๆ เกี่ยวกับเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชน เราก็มีการคิดว่า ถ้าโดยตัวมาสเตอร์เองก็อาจจะโอเค พอเรียนรู้มาบ้าง เราก็เลยคิดว่า ถ้าเราอยากจะถ่ายทอดให้กับเด็กๆ เราก็อยากจะหาคนที่เรียกว่าเป็นตัวจริงเรื่องบล็อกเชน เรื่องคริปโตเคอเรนซี่ เลยคิดถึงทาง Bitkub พอดี ก็ไปเห็นว่า Bitkub มีตัวโครงการ Bitkub Academy ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องคริปโตเคอเรนซี่และบล็อกเชน ก็เลยเชิญชวนให้ทาง Bitkub เข้ามาให้ความรู้กับเด็กๆ อัสสัมชัญ ทางนั้นเขาก็ยินดี และโรงเรียนก็ยินดีอยู่แล้วที่จะเปิดประสบการณ์ และทักษะใหม่ๆ ให้กับเด็ก
ถือว่าเป็นที่แรกๆ เลยหรือเปล่า ที่นำเรื่องบล็อกเชนและคริปโตฯ มาสอนในโรงเรียน
น่าจะเป็นที่แรกๆ ที่เป็นทางการ ปกติจะเห็นเป็นการเรียนรู้ด้วยตัวเองทางสื่อต่างๆ ในเฟซบุ๊ก ยูทูป แต่ว่าในอัสสัมชัญของเราก็มีการบรรจุเข้าไปในวิชาให้เด็กๆ ได้เรียนรู้ เพราะมองว่ามันเป็นพื้นฐานของเทคโนโลยีที่มันจะนำไปสู่อนาคตได้
เห็นว่า โครงการนี้ เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Young Business มันคืออะไร
ใช่ๆ เป็นส่วนหนึ่ง จริงๆ ทางโรงเรียนมีสายการเรียนคณิตศาสตร์บริหารธุรกิจที่สอนให้เรื่องธุรกิจสำหรับนักเรียนที่สนใจ เด็กสามารถเลือกเรียนสายนี้ได้ และก็จะมีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่เป็นชมรม Young Business AC สำหรับเด็กๆ ที่สนใจทางด้านธุรกิจ เด็กๆ ก็จะสามารถมาสมัครเป็นชมรมนอกเวลาซึ่งจะสอนเรื่องธุรกิจ ทักษะต่างๆ การลงทุน การเป็น Enter partner หรือเป็นผู้ประกอบการต่างๆ ก็จะเป็นส่วนหนึ่ง เพราะว่าตอนนี้ธุรกิจมันกว้างมาก มีหลากหลายสาขาด้วย
ในโครงการจะสอนอะไรให้นักเรียนบ้าง?
ในระยะแรกก็จะเป็นเรื่องของการปูพื้นฐาน ให้เด็กๆ เข้าใจในเรื่องของเทคโนโลยีบล็อกเชนก่อน เพราะว่า จริงๆ แล้วต้องทำความเข้าใจว่า บล็อกเชน คนทั่วไปอาจจะคิดว่า มันเป็นการพนันออนไลน์หรือเปล่า หรือเป็นการเทรดเงินอย่างเดียวหรือเปล่า แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่ อย่างที่บอกว่า มันเป็นเบื้องหลังของเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ในระยะแรกเราให้เด็กๆ รู้ก่อนว่า มันคืออะไร ไม่ใช่แค่เรื่องของการเทรดเงินอย่างเดียว มันสามารถเอาไปสร้างเทคโนโลยีต่างๆ หรือว่าสร้างผลงานศิลปะ NFT ได้ด้วย คือแรกๆ จะให้เด็กๆ เรียนรู้พื้นฐานก่อน
พอเขาเข้าใจพื้นฐานแล้ว มันก็สามารถไปประยุกต์ใช้กับตัวเขา หรือว่านำสิ่งที่เขาชอบไปพัฒนาต่อได้ ก็จะมีการสนับสนุนเด็กๆ ที่สนใจในเรื่องนั้น สมมติว่า เด็กสนใจในเรื่องของการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลก็อาจจะผลักดันให้ไปในเรื่องของการทำ Defi ที่เป็นการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล หรือว่าเด็กคนไหนสนใจในเรื่องของศิลปะ เราก็จะมีหลากหลายสาย อาจจะสนับสนุนให้กับเด็กๆ ทำศิลปะขายบน NFTเป็นต้น
เพราะอย่างที่บอกว่า โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว เด็กๆ สนใจในเรื่องไหน เราก็จะพยายามสนับสนุน แล้วก็ผลักดันเด็กๆ ให้เป็นคนที่สามารถอยู่ในโลกอนาคตได้
เป็นการผสมกับหลายๆ ศาสตร์เข้าด้วยกัน?
ใช่ เพื่อให้เขาสามารถต่อยอดในสิ่งที่สนใจได้ เพราะว่าบล็อกเชนจะเป็นสิ่งที่อยู่ในทุกๆ วงการ ทุกๆ อาชีพในอนาคต
ใครจะได้เรียนบ้าง?
เบื้องต้นก็จะเป็นเด็กๆ ที่สนใจก่อน ในระยะแรก แล้วก็มีการรับสมัครเด็กๆ เข้ามา สำหรับเด็กที่สนใจในเรื่องนี้ แล้วในอนาคตอาจจะบรรจุอยู่ในรายวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ ในเรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ
ตอนนี้ที่สมัครมาก็น่าจะประมาณ 300 คนได้แล้ว เยอะมากๆ เพราะว่าความตั้งใจตอนแรกก็เน้นไปที่กลุ่มนักเรียนคณิตศาสตร์บริหารธุรกิจ แต่ว่าเราก็คิดว่า อ่ะ ลองเปิดรับสมัครให้กับเด็กๆ ที่สนใจเพราะบางทีก็จะมีเด็กๆ ที่สนใจอยู่ในหลากหลายสายการเรียน ก็มีเด็กสมัครเข้ามาเยอะมากเลย แล้วก็พอประกาศออกไปก็มีหลากหลายโรงเรียน ทั้งโรงเรียนเพื่อนบ้านใกล้เคียง มีการทักมาบอกว่า อยากเรียนหลักสูตรนี้ด้วยจังเลย ขอมาแบบ sit-in ด้วยได้ไหม ก็ดีครับ น่าสนใจ
แล้วก็ยังมีคนนอกด้วย มีนักเรียนโรงเรียนอื่น รวมถึงแบบ ผู้ปกครองที่มาบอกว่า เขาไม่ได้เรียนโรงเรียนนี้ แต่ว่าอยากจะขอเข้ามาร่วมด้วยได้ไหม เนื่องจากมันเป็นเรียนออนไลน์ เราก็ยินดีสำหรับใครที่อยากจะเข้ามา sit-in ในระยะแรกๆ รวมถึง คุยกับทาง Bitkub ทาง Bitkub ก็ยินดีเหมือนกัน
เห็นกระแสว่ามีคนนอกจำนวนมากที่อยากเรียนด้วย แต่เมื่อกี้บอกว่าเด็กๆ เรียนรู้กันเองอยู่ก่อนแล้ว?
ต้องยอมรับว่า เด็กๆ โรงเรียนของเรามีทักษะด้านเทคโนโลยีต่างๆ เยอะแยะ แล้วก็รู้เท่าทันโลก คืออาจจะไม่ใช่แค่เด็กๆ โรงเรียนอัสสัมชัญเพียงอย่างเดียว เด็กๆ ทั่วไปก็สามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารได้แบบเปิดโลกแล้ว ไม่ได้อยู่แค่ในประเทศ พวกเขาสามารถเรียนรู้ทักษะของต่างประเทศได้เหมือนกัน
เรื่องของคริปโตฯ จริงๆ ก็เข้ามาในหมู่เด็กๆ สักพักใหญ่แล้ว เด็กๆ ก็เล่นกัน เทรดกัน ทั้งผ่านแอพฯ Bitkub แอพฯ Binance มีถึงขั้นขนาดที่นักเรียนรวมตัวกันทำการขุดบิทคอยน์กันมาแล้วนะ ตอนนั้นผมได้ยินแล้วก็ไม่เข้าใจ อะไรคือขุดบิทคอยน์ก่อน ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ ก็เป็นเด็กๆ ที่มาเล่าว่า “มาสเตอร์ ตอนนี้โลกมันเปลี่ยนไปเป็นแบบนี้ๆ แล้วนะ” บางทีเด็กๆ ก็อาจจะล้ำหน้ากว่าเรา เราก็มีหน้าที่สนับสนุนพวกเขา
จากที่แจ้งในเพจว่า จะมีรุ่นพี่มาช่วยเทรนเรื่องนี้ด้วย เพราะอะไร?
ใช่ ส่วนหนึ่งก็มาจากตัวรุ่นพี่ด้วยแหละ เพราะว่าตอนนี้มีเด็กอัสสัมชัญหลายๆ คนที่เข้าระดับมหาวิทยาลัยแล้วก็เข้าไปอยู่ในวงการบล็อกเชน ไม่ใช่แค่การเทรดอย่างเดียว มีการสร้างเกมต่างๆ หรือว่าทำการหารายได้ต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีบลอกเชน สร้างนวัตกรรมต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีบลอกเชน ก็ไปเห็นแล้วก็รู้สึกว่า เฮ้ย ดีจังเลย น่าจะมาสนับสนุนน้องๆ ด้วย เพราะว่าตอนนี้ก็ต้องยอมรับว่า เรื่องของเทคโนโลยีมันเข้าไปถึงเด็กๆ ง่ายมากๆ แล้วเด็กบางคนก็เรียนรู้ด้วยตนเอง ทางเราก็เลยอยากจะสนับสนุนพี่ๆ ศิษย์เก่าของเรา อัสสัมชนิกต่างๆ ที่มีความรู้ในด้านนี้ มาให้คำแนะนำน้อง แล้วก็มาช่วยกันผลักดันน้องๆ
เข้าใจว่าเด็กอาจจะเรียนรู้เทคโนโลยีกันดีแล้ว แต่สำหรับผู้ใหญ่หลายคน อาจจะเป็นห่วงไหมว่า การเอาเงินไปเทรดในโลกอิเล็กทรอนิกส์มันน่ากลัว ไม่ปลอดภัย ประเด็นนี้มองว่ายังไงบ้าง
ผมมองว่าตอนนี้สถานการณ์หลายๆ อย่างมันเปลี่ยนไป ทั้งในประเทศ แล้วก็ต่างประเทศ คือทั่วโลกด้วยแหละ ด้วยบวกกับการที่มันมี COVID-19 เกิดขึ้น จะสังเกตว่า อาชีพเมื่อ 5-10 ปีที่แล้วก็เปลี่ยนแปลงไป แต่ก่อนการทำเพลงออกมาก็ต้องออกไปเป็นอัลบั้ม หรือ CD ปัจจุบัน อัลบั้มและ CD ก็หายไปแล้ว กลายเป็นแบบเพลงที่อยู่บนโลกอิเล็กทรอนิกส์ ต่อไปมันก็จะเป็นอย่างนี้ไปในทุกๆ วงการ แม้แต่วงการการเงิน แต่ก่อนเราก็ต้องพกเหรียญ พกแบงก์ ตอนนี้การจ่ายเงินผ่านแอพพลิเคชั่น ก็เข้ามาแพร่หลายในทั้งประเทศและทั่วโลก ซึ่งมันก็จะพัฒนาไปเรื่อยๆ ผมมองว่า ในอนาคต ลูกหลานของเราจะเป็นคนที่ไปอยู่ในโลกที่ก้าวไปข้างหน้า
ดังนั้น ถ้าเรามัวแต่ให้เขาเรียนในเรื่องของสิ่งที่เคยเรียนมาเมื่อ 10-20 ปีที่แล้ว มันจะสามารถที่จะพัฒนาเด็กๆ เพื่อไปอยู่ในอนาคตได้ยังไง เหมือนกับเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพื่อให้เรารู้ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร แล้วก็เรียนรู้ปัจจุบันว่า ปัจจุบันมันเกิดอะไรขึ้น แล้วก็ให้ความรู้ในเรื่องของทักษะอนาคตเพื่อให้เขาได้สร้างโลกใหม่ที่เขาจะได้อยู่ด้วยตัวเอง
สิ่งที่สำคัญ ถ้าเราจะก้าวไปข้างหน้า เราก็ต้องเรียนทักษะแห่งอนาคต เตรียมพร้อมให้กับเด็กๆ เพราะว่า เด็กพวกนี้แหละที่จะไปอยู่ในอนาคต ไม่ใช่พวกเรา
แล้วการเข้าใจเรื่องบล็อกเชน คริปโตเคอเรนซี่ มันสำคัญอย่างไร
มันเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของทั้งในเรื่องของธุรกิจและการใช้ชีวิตของเด็กๆ เพราะว่าตอนนี้ทั้งในต่างประเทศและในทั่วโลกก็หันมาสนใจในเรื่องนี้ ถ้าดูในข่าว เฟซบุ๊ก หรือว่าทางยูทูปต่างๆ ทั่วโลกก็กำลังพัฒนาสิ่งนี้ แม้แต่ตัวเฟซบุ๊กที่เพิ่งเปิดตัว Metaverse ขึ้นมา ก็เป็นเทคโนโลยีที่มันจะมาแน่นอนในอนาคต ซึ่งเขาบอกว่า ไม่ใช่ว่ากำลังพัฒนานะ แต่ว่ามันมาแน่ๆ
เพราะฉะนั้น ในฐานะของโรงเรียน สิ่งที่เราจะสามารถทำได้ก็คือต้องเตรียมพร้อมให้กับเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นพวก IOT หรือ Big data ก็เด็กๆ ควรที่จะรู้ไว้ อย่างน้อยๆ ก็ต้องเข้าใจว่ามันคืออะไร ซึ่งสุดท้ายแล้ว เด็กก็ต้องเลือกเองว่าเราสนใจในเรื่องไหน และเชื่อมั่นในสิ่งไหน แล้วก็ไปมุ่งมั่นในสิ่งนั้นให้เต็มที่
ในอีกแง่นึง ก็อาจมีคนมองว่า ทำไมเด็กถึงจะต้องรีบรู้ในเรื่องเหล่านี้ ไม่ใช่แค่คริปโตฯ แต่รวมเรื่องการเงินต่างๆ ที่คนอาจจะมองว่า ไว้ค่อยโตก่อนค่อยเรียนก็ได้
โตแล้วครับ (หัวเราะ) คิดว่า ไม่มีอะไรที่เร็วไปสำหรับการเรียนรู้ เพราะอย่างที่รู้ว่า ตอนนี้โลกมันกว้างมากแล้ว เราจะมารอให้ อายุเท่านี้ ค่อยเรียนรู้เรื่องนี้ มันก็ไม่ทัน เพราะว่าทุกอย่างมันเร็วมาก เด็กสมัยนี้ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว เทคโนโลยีตอนนี้ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้าเรายังเวลา หรือว่า รอจังหวะที่พร้อม บางครั้ง ในบางเรื่อง มันก็อาจจะไม่ทันกาล เพราะว่าต้นทุนที่มันเสียไปตลอด คือเวลา
แต่การทำความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จะสอนให้เด็กเข้าใจได้ไง
รูปแบบวิธีการสอนตอนนี้ก็มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งจริงๆ มีทั้งในหลักสูตรในโรงเรียนของเรา ที่มีทาง Bitkub มาช่วย คือการที่เราจะเรียนรู้ในเรื่องไหน เราก็ต้องไปเรียนรู้กับคนที่มีความเชี่ยวชาญ อีกอย่างคือ ตอนนี้ก็มีสื่อต่างๆ มากมายเลย ทั้งที่อยู่นอกโรงเรียน และในทางสื่อโซเชียลต่างๆ เด็กก็สามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ แล้วก็ทบทวนได้ด้วย
เหมือนเป็นการสอนความรู้พื้นฐาน แล้วก็ให้เด็กได้เรียนรู้เองตามสื่อต่างๆ ด้วย
ใช่ครับ
แต่เวลาเทรดคริปโตฯ ก็มีเรื่องของสภาพจิตใจด้วย จะสอนให้เด็กรับมือกับความเครียดอย่างไร
ซอฟต์สกิลต่างๆ ใช่ไหม จริงๆ มันเป็นสิ่งที่พวกเขาต้องเรียนรู้เนอะ นอกจากฮาร์ดสกิลที่เราสอนว่า สิ่งนี้คืออะไร เราก็จะสอนในเรื่องของการที่ให้เด็กๆ เตรียมพร้อมกับสถานการณ์ต่างๆ ก็ต้องสอนให้ทุกๆ ด้านแหละ
เขาบอกว่า ทุกๆ การลงทุนมีความเสี่ยงนะ ไม่ใช่ว่าทำสิ่งนี้แล้วจะต้องดีอย่างแน่นอน มันก็มีหลากหลายปัจจัย เด็กๆ ก็จะต้องได้เรียนรู้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่เรื่องของการเทรดคริปโตฯ อย่างเดียว อย่างที่บอกว่า เราสอนในเรื่องของเทคโนโลยีบล็อกเชนที่มันสามารถเอาไปพัฒนานวัตกรรมต่างๆ ได้
นอกจากเรื่องบล็อกเชน คริปโตฯ แล้ว ยังมีสอนอะไรอีกบ้าง?
อย่างเรื่องการออมเงิน การลงทุน ทำบัญชี เรามีอยู่ในหลักสูตรอยู่แล้ว นอกจากนี้ก็มีอีกหลากหลายวิชาในโรงเรียนอัสสัมชัญที่น่าสนใจ เช่น วิชา start-up ที่เด็กๆ จะได้ทดลองทำเป็นตัว start-up ของตัวเอง ทำเป็นแบบบริษัทของตัวเอง ซึ่งพอมันเป็นเหมือนกับ การทำ project-based learning เป้าหมายก็คือ จะต้องทำธุรกิจขึ้นมาหนึ่งอัน เป็นแอพพลิเคชั่น เป็น start-up ขึ้นมาหนึ่งอัน ในระหว่างทางนั้น เด็กก็จะได้เรียนรู้เรื่องของซอฟต์สกิลต่างๆ เช่น เรื่องของการนำเสนอ การ pitching การปิดดีล ทำงานร่วมกันกับผู้อื่น เป็นต้น
มันจะเป็นสิ่งที่สอดแทรกในส่วนของรายวิชาอยู่แล้ว แล้วก็มีพวกเรื่องของวิชาที่เป็นวิชา ยูทูปเบอร์ วิชาเลือกให้กับเด็กๆ ที่สนใจในเรื่องนี้ มันก็จะมี ซอฟต์สกิล อย่าง การพูด การครีเอท ความครีเอทีฟ หรือว่าเรื่องของการซอฟต์สกิลต่างๆ ที่มันมีอยู่ในหลากหลายวิชา
ขณะเดียวกัน หลายแห่งจะพยายามทำให้เด็กเติบโตไปเป็นหมอ เป็นตำรวจ เป็นวิศวกร ทำไมถึงมองว่า การเรียนรู้ไปสู่อาชีพอย่าง ยูทูปเบอร์ ถึงสำคัญ
ผมว่าตอนนี้อาชีพมันเยอะมากๆ แล้วก็เกิดขึ้นใหม่ในทุกๆ ปี แล้วเด็กๆ ที่ทั่วประเทศ ก็มีความหลากหลายมากๆ ซึ่งเราก็พยายามจะสนับสนุน ซัพพอร์ทเด็กๆ ให้ไปในสิ่งที่เขาชอบ สำหรับคนไหนที่อยากเป็นหมอ ก็ไม่ได้ผิดนะ ก็เป็นสิ่งที่ดี เราก็สนับสนุน เราก็มีห้องเรียนวิทยาศาสตร์ที่สนับสนุนเด็ก หรือแม้แต่ เด็กคนไหนชอบในเรื่องของเทคโนโลยีอวกาศ เราก็มีศูนย์เทคโนโลยีอวกาศที่สนับสนุนเด็กๆ ที่สนใจในด้านนี้
ผมมองว่า โรงเรียนควรจะเป็นพื้นที่ที่ให้เด็กๆ โรงเรียนควรจะเป็นพื้นที่ที่สนับสนุนเด็กๆ ให้แบบโตไปในสิ่งที่เขาชอบ มากกว่าการที่บล็อกมา เข้ามาที่นี่นะ ต้องเป็นแบบนี้ แล้วออกไปเป็นบล็อกนี้เท่านั้น เพราะว่าปัจจุบันมันไม่ใช่แล้ว เด็กๆ มันหลากหลายมาก แล้วการที่ในอนาคตโลกมันจะดีขึ้น ประเทศมันจะดีขึ้น มันก็ต้องใช้ความหลากหลายนี้เข้ามาช่วยกันพัฒนา ไม่ใช่เป็นคนแบบบล็อกเดียวกัน
อย่างนี้ ในอนาคตจะมีการสอนไปสู่อาชีพอะไรใหม่ๆ อีกไหม?
มันจะมีในส่วนของทั้งกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนที่มีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตลอด รวมถึงในหลักสูตรปัจจุบันที่มีอย่างส่วนของวิชาการงานอาชีพ ก็มีการพัฒนาหลักสูตร ปรับเปลี่ยนเนื้อหา ให้เข้ากับยุคสมัยมากยิ่งขึ้น ก็ตัวของกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
ตอนนี้เราก็มีหลากหลายกิจกรรม มีพวกชมรม พวกคลับต่างๆ ก็จะมีในส่วนของทั้งที่คุณครู เปิดขึ้นมาเอง สำหรับคุณครูที่มีความรู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้เปิดขึ้นมาเอง หรือว่าเด็กๆ ที่สนใจในด้านไหน อย่างบล็อกเชนที่บอกไป ก็คือ มีเด็กๆ ที่สนใจอยู่แล้ว แล้วก็สามารถรวมกัน แล้วก็หาคุณครูที่ปรึกษามาบอกว่า “มาสเตอร์ครับ ผมสนใจจังเลย” คนที่เป็นครูก็มีหน้าที่ในการผลักดัน ซึ่งก็มีหลากหลายชมรมนะ ที่เกิดขึ้นมาเป็นแบบนี้ เด็กที่สนใจในเรื่องของเทคโนโลยีอวกาศ ก็รวมตัวกัน หาคุณครูที่ปรึกษา แล้วก็คุณครูก็คอยสนับสนุนซัพพอร์ท
จริงๆ เด็กดี ผมไม่ได้ชำนาญเรื่องของอาชีพมาก แต่ชำนาญเรื่องการดันเด็ก ชมเด็กว่า “อู้ย เก่งมากเลย” อย่างนี้มากกว่า (หัวเราะ)
เป็นการฟังเสียงเด็กเป็นหลัก?
ใช่ครับ เริ่มมาจากความสนใจของเด็กๆ ก่อน
ทำไมการฟังเสียงเด็กถึงสำคัญ
เอาจริงๆ มันก็คือชีวิตของเขา หมายถึงว่า มันคืออนาคตของเขา เป็นสิ่งที่เขาควรที่จะได้รับพื้นที่ แล้วก็ได้รับสิทธิ์ในการเลือกที่จะเติบโต หน้าที่ของโรงเรียนก็คือ สนับสนุน แล้วก็พยายามผลักดันให้พวกเขาสามารถเติบโตไปในทิศทางที่ดีได้ ไม่ใช่ปิดกั้นหรือทำให้เขาไปในทางที่ผิด
ถ้าอย่างนั้น มองว่า อาชีพครู คืออะไร
ผมมองว่า ครู คือคนที่สนับสนุนและพัฒนาเด็กๆ ให้เติบโต เปรียบเหมือนโค้ชกีฬาที่หาจุดเด่นของนักกีฬา และส่งเสริมไปในทางนั้น