ทุกครั้งที่มีข่าวคดีข่มขืน คุณนึกถึงอะไรก่อนกันระหว่าง ‘ผู้กระทำสมควรโดนประณามและดำเนินคดี’ หรือ ‘ผู้ถูกกระทำไปแต่งตัวยั่วยวนเองรึเปล่า?’
ไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้เราอาจจะคุ้นหูกับคำว่า rape culture หรือ วัฒนธรรมการข่มขืนกันมากขึ้น เพราะเรามักจะได้เห็นข่าวอาชญากรรมข่มขืนที่หลายๆ ครั้ง เมื่อข่าวถูกเผยแพร่ออกไป สิ่งที่คนมักพูดถึงคือ ‘เหยื่อ’ มากกว่า ‘ผู้ต้องหา’ กลายเป็นว่าเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำต้องพบกับการโดนถามซ้ำๆ จนสร้างบาดแผลร้าวลึกในจิตใจ
“มันทำให้เหยื่อโดดเดี่ยวและรู้สึกผิดที่ต้องออกมาพูด ซึ่งไม่ควรจะรู้สึกแบบนั้นเลย เพราะเราไม่ได้ทำอะไรผิด มันไม่ยุติธรรมตั้งแต่แรกอยู่แล้ว การที่ออกมาพูดว่าเราตกเป็นเหยื่อของการถูกล่วงละเมิดทางเพศ แต่กลับมีคนมาด่าเรา ทั้งที่เราไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็ยิ่งไม่ยุติธรรมกันเข้าไปใหญ่” นี่คือบทสัมภาษณ์เมื่อหลายปีก่อนที่ The MATTER เคยพูดคุยกับหนึ่งในนักศึกษาที่เคยโดนล่วงละเมิดทางเพศและออกมาเปิดเผยเล่าเรื่องราว แต่กลายเป็นว่าเธอต้องโดนสังคมรุมประณามแทนว่าเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์เสี่ยง
ซึ่งแม้เวลาจะผ่านไปแค่ไหน ‘วัฒนธรรมการข่มขืน’ ก็ยังคงฉายหนังซ้ำและเกิดขึ้นในสังคมอยู่เรื่อยมา
Rape Culture : เมื่อการปกป้องผู้ต้องหาคือการซ้ำเติมผู้ถูกกระทำ
“เด็กมันขายเอง”
“ถ้าไม่อยากโดนครูข่มขืน ก็สอนลูกอยู่ที่บ้าน”
“เธอไปแต่งตัวโป๊รึเปล่า”
“ผู้ชายยังไงก็เป็นผู้ชาย มันเป็นสัญชาตญาณไง”
“ก็เอาตัวเองไปอยู่ในที่เสี่ยงแบบนั้นไง ถึงเกิดเรื่อง”
“ทีหลังก็อย่าออกไปทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ สิ”
สิ่งเหล่านี้คือคำพูดและผลพวงจาก rape culture หรือ วัฒนธรรมการข่มขืนด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งคำพูดเหล่านี้ก็เหมือนการปกป้องผู้กระทำผิดและโยนความผิดไปให้เหยื่อ ที่เราควรย้อนกลับมาทบทวนและตั้งคำถามว่ามันถูกต้องแล้วหรือเปล่า?
วัฒนธรรมการข่มขืน (rape culture) คือ วัฒนธรรม (ที่หมายถึงการปฏิบัติต่อกันมา ไม่ได้มีแต่เฉพาะสิ่งดีงามใดๆ เท่านั้นที่เป็นวัฒนธรรม) ที่ความรุนแรงทางเพศถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ และเหยื่อถูกกล่าวหาว่าเป็นคนผิดเพราะไปทำให้เกิดเรื่องขึ้นเอง เป็นวัฒนธรรมที่กำลังปกป้องผู้ต้องหา หรือคนข่มขืน แล้วหันไปโจมตีหรือทำให้เหยื่อต้องรู้สึกอับอายจนไม่กล้าออกมาเรียกร้องความยุติธรรม รวมไปถึงการสั่งให้เหยื่อ (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง) ต้องระวังเนื้อระวังตัวเอง
บางครั้งแม้แต่กระบวนการยุติธรรมก็ยังเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการข่มขืน หลายครั้งที่มีการมองว่า ‘ไม่ขัดขืน’ = ‘ยินยอม’ ทั้งๆ ที่ในช่วงเวลานั้นมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งการทำงานของร่างกายในภาวะช็อก การที่เหยื่อถูกมอมเหล้า หรือมิติอื่นๆ ที่การสืบสวนสอบสวนมักมองข้ามไป และเข้าใจเพียงแค่ว่าการข่มขืนเท่ากับเหยื่อต้องขัดขืนผ่านทางร่างกายเท่านั้น
ซึ่งวัฒนธรรมการข่มขืนนั้นเรียกร้องและกดดันให้ผู้หญิงต้องยอมสละ ถูกจำกัดกรอบการใช้ชีวิตหรือการมีสิทธิและเสรีภาพที่จะทำอะไรต่างๆ เพราะความกลัวว่าตัวเองอาจเป็นต้นเหตุทำให้เกิดอาชญากรรมข่มขืน ทั้งๆ ที่เป็น ‘เหยื่อ’ ผู้หญิงหลายคนอาจจะเคยได้ยินครอบครัวมักสอนต่อๆ กันมาว่า อย่าออกไปเที่ยวตอนกลางคืน อย่าใส่กางเกงขาสั้น อย่าไปเที่ยวผับเที่ยวบาร์ ห้ามไปไหนมาไหนคนเดียว ชีวิตของผู้หญิงหลายคนจึงถูกจำกัดอิสระตั้งแต่เด็กๆ และกลายเป็นความคิดที่ถูกฝังอยู่ในหัวมาโดยตลอดว่าถ้าขัดคำสั่งเหล่านั้น เธอจะกลายเป็นต้นเหตุที่ทำให้เหตุการณ์ข่มขืนเกิดขึ้นทันที
โดยที่หลายคนอาจหลงลืมไปว่าปัญหาการข่มขืนนี้เกิดขึ้นจากการที่ผู้กระทำไม่รู้จักความเคารพสิทธิในร่างกายของผู้อื่น และผู้กระทำคืออาชญากรที่เราควรเพ่งเล็งและสั่งสอนให้ระมัดระวังตัวเองมากกว่าเที่ยวบอกผู้หญิงให้ระวังตัว
นอกจากการกดดันทางสังคม สื่อเองก็มีส่วนสำคัญในวัฒนธรรมการข่มขืนด้วยเช่นกัน เราจะเห็นละครทีวีที่สร้างฉากพระเอกข่มขืนนางเอกกันอยู่บ่อยๆ และแม้จะมีการออกมาเรียกร้องกี่ครั้งต่อกี่ครั้ง สิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่หายไปจากสังคม ทั้งๆ ที่ฉากเหล่านี้กำลังสร้างให้การข่มขืนเป็นเรื่องยอมรับได้ เพราะในตอนจบ พระเอกที่ข่มขืน ล่วงละเมิดสิทธิในเนื้อตัวนางเอก ก็กลับได้ครองรักกับนางเอกและใช้ชีวิตแฮปปี้เอนดิ้งโดยไม่ถูกกลงโทษใดๆ ทั้งสิ้น กลายเป็นการสร้างความคิดที่ว่าการข่มขืนช่วยทำให้คนที่เรารักสามารถรักเราตอบได้ ซึ่งเป็นมายคติที่ผิดอย่างรุนแรง
และเมื่อวัฒนธรรมการข่มขืนซ้อนทับกับอำนาจที่ไม่เท่ากัน ยกตัวอย่างเมื่อพูดถึงปัญหาการข่มขืนในโรงเรียนที่อำนาจภายในรั้วโรงเรียนยิ่งกดทับให้เด็กไม่มีสิทธิ์มีเสียงในการออกมาพูด เพราะเมื่อใดก็ตามที่เด็กพูด หลายคนก็มักจะไม่เชื่อถือด้วยความเป็น ‘เด็ก’ ในขณะที่สถานะอำนาจของ ‘ครู’ นั้นเหนือกว่าในทุกด้านทั้ง การเป็นผู้ใหญ่ การเป็นครูที่สังคมให้ความเคารพ ข่าวการข่มขืนในรั้วโรงเรียนจึงเกิดขึ้นหลายครั้ง และมักจะเป็นการข่มขืนที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เพราะเด็กพูดอะไรไม่ได้ภายใต้การกดทับของอำนาจเช่นนี้
“เหยื่อถูกกระทำเฉลี่ยเดือนละ 1-2 ครั้ง เด็กหญิงถูกข่มขู่ไม่ให้บอกใคร ขู่ว่ามีการถ่ายคลิป และจะไม่ให้เลื่อนชั้นเรียน” นี่คืออำนาจในรั้วโรงเรียนที่เกิดขึ้นเมื่อเด็กถูกข่มขืนและโดนข่มขู่ มันคืออำนาจระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่ อำนาจของครูกับนักเรียน และอำนาจระหว่างชายกับหญิงที่รวมเข้าอยู่ด้วยกันในเหตุการณ์เช่นนี้
และเมื่อรวมเข้ากับการที่มีคนพูดว่า “ถ้าไม่อยากโดนครูข่มขืน ก็สอนลูกอยู่ที่บ้าน” ออกมาให้เราได้ยินกัน ยิ่งตอกย้ำว่าบางคนยังมองปัญหาการข่มขืนเป็นความผิดของเหยื่ออยู่ดี แม้จะเป็นเด็กก็ตาม และนี่ทำให้วงจรวัฒนธรรมการข่มขืนเกิดวนเวียนไปไม่รู้จบ
นี่ยังไม่รวมถึงการข่มขืนและความรุนแรงทางเพศที่เกิดขึ้นในบ้าน ที่เป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ที่มักมองไม่เห็น
ผลกระทบอันใหญ่หลวงยิ่งกว่าอื่นใดคือ วัฒนธรรมการข่มขืนได้ทำให้เกิดคำพูด “เขาเป็นคนดี ฉันเชื่อใจเขา” “#คนดีทีทำเลว” โดยมองว่าการข่มขืนเป็นเรื่องปกติไปและมองว่าไม่ใช้ความผิดร้ายแรง มีการออกโรงปกป้อง มีการส่งกำลังใจให้กับผู้กระทำผิดเพราะคิดว่าเป็นแค่คดีธรรมดาๆ ไม่ได้ร้ายแรง สิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้นจากการที่วัฒนธรรมข่มขืนไหลเวียนอยู่ในสังคม และจะยิ่งส่งผลให้คนกระทำผิดและคดีอาชญากรรมข่มขืนเพิ่มมากขึ้น เหยื่อจะยิ่งรู้สึกโดดเดี่ยวและปิดปากเงียบมากขึ้น หากเรายังไม่มองเห็นปัญหาเหล่านี้
ในระบอบชายเป็นใหญ่ เราต่างกำลังถูกครอบงำ
อะไรๆ ก็ระบอบชายเป็นใหญ่ ปิตาธิปไตย ทำไมเราไม่หลุดพ้นเรื่องนี้กันสักที? แน่นอนว่าเราไม่ได้หลุดพ้นกันง่ายดายขนาดนั้น และทุกคนล้วนอยู่ภายใต้ความคิดปิตาธิปไตยไม่มากก็น้อย และไม่ว่าเพศไหนก็โดนปิตาธิปไตยทำร้ายด้วยกันทั้งนั้น
เคต มิลเล็ตต์ (Kate Millett) หนึ่งในนักเขียนและเฟมินิสต์เคยอธิบายสังคมชายเป็นใหญ่ไว้ว่าเป็นระบบสังคมภายใต้กฎระเบียบที่ไม่เพียงแค่ผู้ชายมีอำนาจเหนือผู้หญิง แต่ผู้ชายที่แก่กว่าก็ยังมีอำนาจเหนือผู้ชายที่อ่อนวัยกว่า ด้วยกระบวนการขัดเกลาของระบบอาวุโส
“ผู้ชายห้ามร้องไห้ ต้องเข้มแข็ง” “ผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว” “LGBTQ เป็นเรื่องแปลกและไม่คู่ควรกับสังคม” ใดๆ เหล่านี้ล้วนมาจากความคิดปิตาธิปไตยทั้งสิ้น เป็นปิตาธิปไตยที่พยายามสร้างความไม่เท่าเทียมและรักษาอำนาจให้กับคนที่ได้ผลประโยชน์ในสังคมมากที่สุด
และวัฒนธรรมการข่มขืน (ในที่นี่ความขัดแย้งมักเป็นชายกับหญิง แต่ก็มีหลายเคสที่ชายโดนข่มขื่น หรือแม้แต่ LGBTQ ก็โดนด้วย) ก็ก่อกำเนิดมาจากสังคมชายเป็นใหญ่ด้วยเช่นกัน ในการก่อตั้งสหรัฐอเมริกา เมื่อระบบถูกสร้างโดยชายผิวขาว และระบบนั้นได้จำกัดสิทธิของผู้หญิง และมองว่าผู้หญิงเป็น ‘สมบัติ’ ของผู้ชาย และหากมีเหตุอันตรายใดๆ เกิดขึ้นกับผู้หญิงแล้วนั้นก็ต้องใช้อำนาจของผู้ชายในการจัดการ ผู้หญิงไม่มีสิทธิ์มีเสียงในตนเอง และความคิดนี้ก็ถูกส่งต่อมาเรื่อยๆ ทำให้การกดทับและการจำกัดสิทธิเสรีภาพของผู้หญิงกลายเป็นความคิดที่หยั่งรากลึกมาจนทุกวันนี้
ในไทยเองก็เช่นกัน เราอาจเคยได้ยินว่ากฏหมายในสมัยก่อนนั้น ชายสามารถมีภรรยาได้หลายคน ในขณะที่ภรรยานั้นหากมีผู้อื่น จะเป็นการคบชู้และผิดกฏหมายในทันที หรือการมีหนังสือ ว่าด้วยการเป็นกุลสตรีที่นอกจากบอกให้ผู้หญิงเป็น ลูกสาว เป็นเมีย เป็นแม่ที่ดี คอยปรนนิบัติรับใช้พ่อหรือสามี ก็ยังมีเรื่องการต้องเป็นหญิงที่เรียบร้อย อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน ทำงานบ้านให้ดี แม้แต่ละคร ผู้หญิงที่ดีก็คือผู้หญิงที่เรียบร้อย เชื่อฟังผู้ชาย เพราะเมื่อไหร่ที่เธอเกิดก๋ากั๋น ดื้อรั้น ก็จะมีเหตุการณ์ให้ผู้ชายต้องเข้าไปช่วยเหลือทุกที สิ่งเหล่านี้ตอกย้ำให้เพศหญิงต้องถูกควบคุมดูแลโดยผู้ชายโดยที่ไม่สะท้อนปัญหาว่าทำไมต้องมาได้รับการปกป้องหากสังคมนั้นปลอดภัยเพียงพอ
ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่ผู้หญิงออกปากเรียกร้องสิทธิให้ตนเอง เสียงนั้นจึงแผ่วเบาและไม่ค่อยมีใครให้ความสำคัญ เช่น หากเกิดความรุนแรงในครอบครัว เมื่อผู้หญิงออกมาเรียกร้อง เราก็มักจะคิดว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว ทำไมต้องเอามาป่าวประกาศ เมื่อผู้หญิงบอกว่าโดนข่มขืน ก็จะมีเสียงบอกว่าเธอแส่ไปหาเรื่องเองรึเปล่า ก็สมควรโดนแล้ว มากกว่าประณามคนกระทำว่าเขาไม่สมควรทำเช่นนี้ แม้แต่ในแบบเรียน ในข้อสอบ หลายคนก็อาจจะเคยเจอวิธีการปฏิบัติตัวที่สั่งสอนผู้หญิงให้เรียบร้อย แทนที่จะสอนกันเรื่องการเคารพสิทธิซึ่งกันและกัน
และเมื่อเป็นระบบความคิดที่ส่งต่อกันมา ตอกย้ำซ้ำๆ ผ่านสื่อ แบบเรียน และคำสอนในสังคม มันจึงอาจไม่ได้มีแค่ผู้ชายเท่านั้นที่อยู่ภายใต้ปิตาธิปไตย แต่ผู้หญิงบางคนก็สมาทานความคิดของปิตาธิปไตยและเห็นดีเห็นงามไปด้วย ยิ่งผู้หญิงที่ได้รับอภิสิทธิ์จะระบอบนี้ก็ไม่แปลกที่จะยิ่งสนับสนุนบนอำนาาจที่เธออาจมองไม่เห็นว่าถูกกดทับอย่างไร
วัฒนธรรมข่มขืนจึงกลายเป็นอีกหนึ่งความคิดที่ถูกประกอบสร้างให้สังคมเชื่อว่านี่เป็นเรื่องปกติทั่วไป เป็นสิ่งที่พูดต่อๆ กันเพราะสังคมนั้นสืบทอดกันมานานทำให้เท่ากับต้องเชื่อฟัง (ผ่านระบบอาวุโส) ดังนั้นการที่ผู้หญิงบางคนจะออกมาปกป้องผู้ต้องหา จึงเป็นมากกว่าเรื่องปัจเจกแต่คือระบอบความคิดแบบปิตาธิปไตยที่ผู้ชายซึ่งมักเป็นผู้เขียนกฎตั้งแต่อดีตกำลังครอบงำสังคม
วัฒนธรรมข่มขืนจึงเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่าเมื่อเรามองไม่เห็นว่าอะไรทำให้สังคมมองเรื่องนี้ว่าเป็นสิ่งปกติ การสร้างสังคมให้เข้าใจเรื่อง consent เรื่องการไม่ละเมิดสิทธิบนร่างกายคนอื่น (อย่างประเด็นเครื่องแต่งกายนักเรียนก็คือการละเมิดสิทธิบนร่างกายที่เราหลงลืมกัน) การเข้าใจเรื่องการมีอยู่ของปิตาธิปไตยและมองเห็นปัญหาที่ระบอบนี้กำลังทำร้ายทุกคน (ทั้งยังสร้างความเหลื่อมล้ำ สร้างความไม่เท่าเทียมต่างๆ) การผลักดันให้สื่อนำเสนอเนื้อหาอย่างรับผิดชอบ ไม่นำเรื่องข่มขืนมาเล่าเป็นเรื่องขำขัน และการเห็นอกเห็นใจเหยื่อผู้ถูกกระทำไม่ให้เขาต้องรู้สึกโดดเดี่ยว ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงสังคมให้วัฒนธรรมการข่มขืนยุติลงได้
เพื่อให้การใช้ชีวิตของทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ต้องอยู่กันอย่างหวาดกลัวอีกต่อไป
อ้างอิงข้อมูลจาก
Rape Culture Rooted in Patriarchy, Media Portrayal, and Victim Blaming