เรียนมาหลายปี จากอนุบาล ประถม มัธยม มาถึงมหาวิทยาลัย งานจบการศึกษาอย่าง ‘รับปริญญา’ ก็เป็นเหมือนหมุดหมายสำคัญของหลายๆ คน ที่แสดงถึงความสำเร็จ เป็นช่วงเวลาแห่งความยินดี
แต่ในทางเดียวกัน เทรนด์การรับปริญญาของบ้านเราก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ปัจจุบันมีผู้เข้าร่วมรับปริญญาน้อยลง หรือแค่ใส่ชุดครุยไปถ่ายรูปกับเพื่อนๆ แต่ไม่ร่วมพิธีมากขึ้น รวมถึงคนเข้ารับปริญญาเอง ที่พบว่า งานนี้นอกจากความยินดีแล้ว ก็เป็นอีกงานที่ต้องเหนื่อย ลำบาก และเสียเงินจำนวนมากด้วย
งานยินดีที่มาพร้อมค่าใช้จ่าย และกฎระเบียบ
งานรับปริญญาในประเทศไทย เมื่อเทียบกับงานในประเทศอื่นๆ อาจขึ้นชื่อได้ว่า เล่นใหญ่ และมีอะไรที่เยอะกว่าที่อื่นๆ รวมไปถึงค่าใช้จ่ายด้วย โดยนอกจากค่าลงทะเบียนขึ้นบัณฑิต และค่าชุดครุยแล้ว หลายๆ ครั้งบัณฑิตเองก็ยังมีค่าถ่ายรูป ค่ากรอบรูป ค่าแต่งหน้าทำผม และค่าช่างกล้อง รวมไปถึงหลายๆ คนที่ต้องจองหอพัก เพราะงานจัดขึ้นเช้าด้วย
ซึ่งในมหาวิทยาลัยบางแห่ง แม้บัณฑิตจะตัดสินใจไม่รับ แต่ก็ต้องจ่ายเงินเท่ากับผู้เข้ารับ เพื่อให้ได้ใบปริญญาด้วย
บัณฑิตคณะสถาปัตยกรรม สถาบันแห่งหนึ่ง เล่าให้เราฟังว่า “เราไม่เข้ารับปริญญา เพราะเรามองว่าพิธีมันไม่ได้สำคัญกับเรา ซึ่งพ่อแม่เราก็ไม่ได้ว่าอะไร บอกว่าดีด้วยซ้ำ แต่มหาวิทยาลัยก็บอกให้เราต้องจ่ายเงินค่าเข้ารับเหมือนคนอื่น พอเราถามเหตุผลว่า ทำไมเราถึงต้องจ่ายเท่ากัน ในเมื่อเราไม่เข้ารับ มหาวิทยาลัยบอกเราว่ามีค่าที่นั่ง ค่าไฟอื่นๆ พอเราไม่จ่าย สุดท้ายเราก็ไม่ได้แม้แต่ใบปริญญา จนถึงทุกวันนี้”
เธอเสนอว่า มหาวิทยาลัยไม่ควรเก็บเงินคนที่ไม่เข้ารับ ในเรทที่เท่าๆ กับคนที่เข้ารับ แต่ควรจะทำออกมาใน 2 ราคา เพื่อความยุติธรรม
ค่าใช้จ่ายของบัณฑิตยังไม่หมดเท่านั้น เพราะบัณฑิตบางคนก็มองว่า พวกเขาพบความลำบากใจ จากวัฒนธรรมการบูม ที่ต้องให้เงินรุ่นน้องด้วย “งานรับปริญญาในไทย มีวัฒนธรรมน้องมาบูมบาละก้า เราก็เพิ่งเรียนจบ เพิ่งมีงาน ไม่ได้รวยแจกเงินทอง ร่อนซองขนาดนั้น แต่พอเขามาก็ต้องมารยาท ให้แค่สิบบาทยี่สิบบาทก็โดนมองแรง เจ็บปวดเหมือนกัน” บัณฑิตชาย เอกนิเทศศิลป์เล่า
แม้ว่า ช่วงมหาวิทยาลัยจะขึ้นชื่อว่า นักศึกษามีเสรีภาพ และกฎระเบียบน้อยกว่าสมัยเป็นนักเรียน แต่สิ่งที่ตามมาในงานรับปริญญาหลายครั้งคือเรื่องของกฎระเบียบที่เคร่งครัด ทั้งเรื่องเครื่องแต่งกาย และข้อปฏิบัติ
บัณฑิตใหม่ที่เพิ่งเข้ารับปริญญาในปีนี้เล่าให้เราฟังว่า “ปัญหาหลักของเราคือเรื่องรองเท้าผู้หญิง ที่ใส่แล้วเจ็บ กัดเท้ามาก ซึ่งเพื่อนๆ ทุกคนมีปัญหาเรื่องนี้ เราคิดว่าระเบียบควรจะให้อิสระเรื่องการใส่รองเท้ามากขึ้น รวมถึงสีผม ที่บังคับให้ต้องย้อมผมดำ เราคิดว่าคงจะดี ถ้ามีการให้อิสระหรือผ่อนผันกับเรื่องระเบียบมากขึ้น”
หรืออย่างบัณฑิตชายคนหนึ่ง ซึ่งมีผมหงอกตามธรรมชาติ ก็บอกกับเราว่า “เราเป็นคนที่มีผมหงอกตามธรรมชาติ ผสมกับผมดำเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ในงานรับปริญญา เราถูกสั่งให้ไปย้อมผมสีดำทั้งหัว เพราะอาจารย์บอกว่าสีผมเราไม่ผ่าน แม้เราจะบอกว่ามันเป็นสีธรรมชาติ แต่เราก็ต้องไปย้อมตามระเบียบอยู่ดี”
ความยินดีของครอบครัว ที่มาพร้อมความลำบาก
ภาพในงานรับปริญญา นอกจากเหล่าบันฑิตที่สวมชุดครุยแล้ว เรามักเห็นภาพของครอบครัวที่เข้ามาแสดงความยินดีกับลูกหลาน ซึ่งสำหรับบางคน ทั้งครอบครัวต้องมากันจากต่างจังหวัด และต้องอยู่ในงานทั้งวัน เพื่อรอลูกๆ หลานๆ ท่ามกลางอากาศเมืองไทยที่ร้อน และงานที่แออัด
“ในงานรับปริญญา พ่อแม่เรามาจากต่างจังหวัด ต้องนั่งเครื่องมาแต่เช้า ทางเข้าที่งานรับปริญญาก็เข้าไม่ได้ เพราะมีการปิดถนน พ่อแม่เราต้องเดินไกลมาก แล้วเขาก็ไม่ได้อายุน้อยๆ แล้ว ในงานก็ไม่มีที่นั่งให้ผู้ปกครองนั่งเลย ทั้งพอเขาบอกไม่ให้เราเอาโทรศัพท์เข้างาน เราก็ต้องนัดพ่อแม่ดีๆ แล้วเขาเองก็จะไปไหนไม่ได้ เพราะต้องรอเรา บางทีงานเลท เขาก็ต้องนั่งรอเราอยู่ตรงนั้นตลอด ถ้าหลงมาทีก็จะหากันยากมากๆ” บัณฑิต ผู้มีพ่อแม่มาจากเชียงใหม่เล่าให้ฟัง
ในขณะที่บัณฑิตอีกคนหนึ่ง ที่ญาติๆ ยกกันมาทั้งครอบครัว ก็เล่าประสบการณ์ของครอบครัว กับงานรับปริญญาว่า
“ช่วงรับปริญญาเป็นช่วงที่เราเพิ่งเสียคุณแม่ไปได้สองอาทิตย์ ญาติฝั่งแม่ทุกคนก็เลยรวมตัวกันจากชลบุรี เพื่อมาให้กำลังใจหลานคนแรกของตระกูลในการเข้ารับปริญญา จริงๆ เราบอกกับเค้าแล้วว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องมาก็ได้ แต่อาม่ายืนยันว่าต้องมาให้ได้ ด้วยความกลัวรถติดกับไม่มีที่จอดรถ ก็เลยแนะนำให้เช่ารถตู้มาจากชลบุรี
จากนั้นก็เดินถ่ายรูปหน้าคณะซักพัก แล้วก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ไม่รู้จะพาเขาไปที่ไหน พวกเขาก็เลยกลับชลบุรีไป เท่ากับว่าเค้าใช้เวลาอยู่กับเราแค่หนึ่งชั่วโมง แลกกับการเดินทางไปกลับสี่ห้าชั่วโมง
มันก็ดีนะที่ได้มาถ่ายรูป มาแสดงความยินดีด้วยกัน แต่ในอีกแง่นึงคือเราต้องเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างเยอะเลยในการช่วงออกค่าเดินทางของเค้า เพราะสรุปว่าญาติให้เราเป็นคนออกค่าเดินทาง เด็กจบใหม่ เพิ่งเริ่มทำงานได้ 2 เดือนอย่างเราก็กินแกลบไปทั้งเดือนเลย”
การแต่งชุดครุยตามเพศสภาพ และการต้องปกปิดความเป็นเพศที่ 3
อยากแต่งกายให้ตรงกับเพศสภาพ คือความต้องการของบัณฑิตเพศที่ 3 หลายๆ คน ซึ่งแม้ว่าหลายๆ มหาวิทยาลัยจะเปิดกว้างมากขึ้น แต่ก็ยังมีกระบวนการที่นักศึกษาเหล่านี้ต้องทำเรื่อง ส่งเอกสารต่างๆ เพื่อที่จะได้สิทธิในการแต่งกายด้วย
โดยจากกำหนดการของหลายๆ มหาวิทยาลัยพบว่า การทำเรื่องจำเป็นที่ต้องยื่นเอกสารใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่า ให้นักศึกษาต้องขอใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันเพศสภาพ หรือคำรับรองจากจิตแพทย์ เพื่อยืนยันว่าตัวตนต่างไปจากเพศกำเนิด หรือระบุว่าเป็น Gender Identity Disorder
“ทางมหาวิทยาลัยจะมีช่วงกำหนดยื่นส่งเอกสารประกอบคำร้องเพื่อใส่ชุดรับปริญญาให้ตรงตามเพศสภาพ ซึ่งต้องมีใบรับรองแพทย์ที่ระบุว่าเรามีเพศสภาพไม่ตรงกับเพศกำเนิด มีใบคำร้องของทางมหา’ลัย รูปถ่ายการแต่งกายชุดนิสิตหญิง ซึ่งในกรณีของเราคือ มีใบรับรองแพทย์ตั้งแต่สมัยเกณฑ์ทหารมาแล้วก็เลยยื่นไปไม่ต้องขอใหม่ ซึ่งตอนแรกก็เกือบจะต้องทำใหม่ เพราะเหตุผลของมหาลัยแจ้งว่าให้อัพเดทที่สุด ซึ่งเราก็ถามไปว่าเป็นกะเทยต้องอัพเดทด้วยหรอ ก็มีการโต้เถียงกันนิดหน่อย แต่สุดท้ายก็ส่งเอกสารเก่าไปก็ผ่าน
อย่างแรกเลยก็คงไม่มีใครชอบให้มีความยุ่งยากหรือลำบากหรอก แต่ก็เข้าใจเพราะมันคือการทำงานของหลายส่วน แต่ที่ไม่ชอบเลยก็คงเป็นเรื่องของเอกสาร ที่ไม่มีใครสามารถให้คำตอบที่ชัดเจนได้ว่าทำไมต้องเอาเอกสารที่อัพเดท เลยมีการโต้แย้งกันนิดนึง
ส่วนวันซ้อมก็จะมีเอกสารตอบรับมาในซองที่นิสิตทุกคนจะได้ แต่ของเราคือมีใบตอบรับนั้นมาเพิ่มในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครขอดู ซึ่งของคณะเราสามารถยื่นเรื่องได้ แต่ในมหาวิทยาลัยเราก็ไม่ใช่ทุกคณะที่ให้นักศึกษาทำเรื่องได้ด้วย” บัณฑิตคนหนึ่งที่ปีนี้ได้ทำเรื่องกับทางมหาวิทยาลัยบอก
แม้ว่าจะมีการเปิดขั้นตอน ให้บัณฑิตได้ทำเรื่องแต่งกายได้ แต่ก็มีบัณฑิตหลายคนที่เลือกจะแต่งกายตามเพศสภาพ แต่ไม่เข้าพิธีรับ
“เราไม่เห็นด้วยกับกระบวนการที่ต้องใช้ใบรับรองแพทย์ในการที่จะเลือกว่าเราจะใส่ชุดตามเพศสภาพได้ มันเหมือนเป็นกระบวนการที่เราต้องตอกย้ำว่า เพศของเราไม่ปกติ และเป็นเรื่องยุ่งยากที่เราต้องมีกระบวนการมากกว่าคนอื่นๆ สุดท้ายเราจึงเลือกใส่ชุดมาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ ของเราเท่านั้นพอ” บัณฑิตคนหนึ่งบอกความคิดเห็นของเธอ
นอกจากนี้ เรายังได้ฟังเรื่องของบัณฑิตคณะรัฐศาสตร์คนหนึ่ง ที่แม้จะไม่ได้มีประเด็นเกี่ยวกับการแต่งกายตามเพศสภาพในวันรับปริญญา แต่ก็ต้องปกปิดเพศสภาพของตนเอง กับญาติๆ และครอบครัว ที่มาในงานวันนั้นด้วย
“สำหรับเรา งานรับปริญญามันเป็นความกดดันมาก เพราะตั้งแต่เรามาเรียนมหา’ลัย พ่อแม่ เราไม่เคยมาดูความเป็นอยู่เราสักครั้ง เพราะเราเลี่ยงไม่อยากให้ที่บ้านมา ด้วยเหตุผลที่เราเป็นเกย์ ซึ่งที่บ้านเราไม่รู้ และที่บ้านเราไม่เปิดรับด้วย ฉะนั้นงานรับปริญญา เราจึงกดดันมาก และต้องวางแผนอย่างดีมาก
เราเป็นคนทำกิจกรรม และมีเพื่อนเยอะมาก บางคนก็ไม่รู้ว่า ที่บ้านเราไม่รู้ว่าเราเป็นตุ๊ด ฉะนั้น ก่อนวันงานรับปริญญา เราจึงประกาศผ่านทางเฟซบุ๊กว่า ถ้าเพื่อนๆ อยากมาหาเรา ถ้าเป็นไปได้ให้มาวันซ้อมใหญ่
เพราะที่บ้านเราจะมาวันรับจริง ส่วนเพื่อนในคณะ เพื่อนในมหา’ลัย เราจะกำชับเลยว่า ถ้าเจอเราเดินกับครอบครัว อย่าใช้สรรพนาม เรียกเราว่า ‘อีตุ๊ด’ ‘เจ๊’ ‘คุณแม่’ หรือแสดงพฤติกรรมที่สื่อให้เห็นว่าเราเป็นตุ๊ด
แต่เมื่อถึงวันจริง มันก็มีเหตุการณ์ที่นอกเหนือการควบคุม คือ เราเจอรุ่นน้องที่เป็นกะเทย กำลังจะอ้าปากทักเรา เราส่งสายตาก่อนเลย ว่ากูมากับแม่ มึงอย่านะๆ ในวันนั้น เรารีบถ่ายรูปกับครอบครัว ใช้เวลาไม่นานมาก แล้วเราก็พาครอบครัวไปนั่งพักร้านกาแฟ หลังจากที่ครอบครัวเรากลับ เราโล่งมากๆ เพราะถึงเวลาออกสาวเต็มที่ สะบัดครุยสุดพลัง”
พิธีการที่แตกต่างจากในต่างประเทศ
ภาพงานรับปริญญาในแต่ละประเทศ แม้จะมีจุดเหมือนกันคือการรับปริญญาบัตร แต่วัฒนธรรม ประเพณี และการแต่งกายหลายๆ อย่างก็แตกต่างกันไป โดยเรามักเห็นภาพความเป็นกันเองมากในต่างประเทศ ทั้งข้างในชุดครุยสามารถใส่ชุดอะไรก็ได้ การใส่ชุดฮากามะของญี่ปุ่น หรือแต่งตัวคอสเพลย์ตลกๆ เข้าพิธี หรือบางที่ ที่ผู้ปกครองก็สามารถเข้าไปร่วมพิธีได้
บัณฑิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยในสก็อตแลนด์ เล่าประสบการณ์รับปริญญาที่นั่นให้เราฟังว่า
“ตอนที่เรารอบ ป.โท ที่ต่างประเทศ ชิวกว่า ป.ตรีที่รับที่ไทยมากๆ ทั้งเรื่องเงิน และเรื่องพิธี ที่นี่เราเสียแค่ค่าเช่าชุดครุยประมาณ 1,600 บาท และค่าลงทะเบียนนิดหน่อย วันพิธีก็ไปลงทะเบียนตอนเช้า ไปเอาชุด ข้างในครุยก็ใส่ชุดอะไรก็ได้สากล
หลังจากนั้นก็มีแค่อธิบายสเต็ป ว่าทำอะไรบ้างสาธิต 30 นาทีก็เสร็จแล้ว และก็เข้าไปนั่งรอแป๊ปเดียว มีพิธีเล็กน้อย แต่ก็เล่นมือถือได้ ถ่ายรูปได้ 1 ชั่วโมงก็เสร็จ ออกมาก็ถ่ายรูป มีแค่ญาติๆ สนิทมา แล้วก็ไปคืนชุดได้เลย แต่ถึงแม้จะชิวแบบนี้ พิธีก็ขลังนะ กระชับ ไม่วุ่นวาย ไม่อึดอัด มันไม่มีค่าใช้จ่ายแบบค่าบูมน้อง หรือค่าช่างภาพอะไรด้วย ทำให้มันช่วยประหยัดเงินไปได้เยอะ”
ถึงอย่างนั้น สำหรับบางคน แม้ว่าจะมีเรื่องราวที่เจ็บปวด และลำบากกับงานรับปริญญา แต่ขณะที่เราถามประสบการณ์ของหลายๆ คน ก็มีบัณฑิตนิเทศศาสตร์คนหนึ่ง ที่เล่าให้ฟังว่า แม้จะมีความลำบากในงาน แต่ตอนจบมันก็กลายเป็นเรื่องซึ้งๆ ในชีวิตเหมือนกัน จากที่ไม่เคยคิดว่างานนี้สำคัญ
“คือเราไม่อินกับการรับปริญญาเลย เพราะเราว่ามันปัญญาอ่อน ทำไมต้องรับด้วย แล้วเราก็คิดทุกวันว่า จะไม่รับ เพราะทั้งร้อน เสียเงิน ไม่ได้มีความหมายกับการศึกษาจริงๆ แต่ที่บ้านเราอยากให้รับมากๆ ตอนแรกเราเครียดมาก เครียดแบบที่จะทำหนังสั้นส่งประกวดเรื่องนี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ส่ง
จริงๆ ตอนแรกจะไม่รับแล้ว บอกที่บ้านไปแล้ว ซึ่งเขาก็ดูเข้าใจนะ เพราะเราบอกไปว่า เดี๋ยวเราจะใส่ชุดครุยมาถ่ายรูป แต่วันนึง ก็รู้สึกเองว่า มันก็เป็นงานที่ปัญญาอ่อนแหละ แต่ก็ไม่ได้เจ็บปวดสำหรับเรา ไม่ได้ทรมานขนาดนั้น รับก็ได้
แต่เอาจริงๆ ตอนที่รู้สึกมีความสุข คือตอนที่ได้ถ่ายรูปรวมกับพ่อแม่ เพราะพ่อแม่เราเลิกกัน ถ้าเราไม่รับแล้วแค่ใส่ชุดไปถ่ายที่จันทบุรี ก็คงไม่มีวันได้ถ่ายร่วมกันสามคน”