คำเตือน: บทความนี้เปิดเผยเนื้อหาบางตอนของเกม Kentucky Route Zero
เดือนมีนาคม ไตรมาสแรกของปี ค.ศ.2020 กำลังจะผ่านไป สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ยังร้อนระอุทั่วโลก หลายประเทศประกาศปิดเมืองใหญ่ หรือปิดประเทศชั่วคราวเพื่อดำเนินยุทธศาสตร์ #เจ็บแต่จบ ภาครัฐและเอกชนเริ่มออกมาตรการ social distancing เพื่อลดความเสี่ยงของการติดและแพร่เชื้อ เปิดโอกาสให้ระบบสาธารณสุขได้ทำงานช่วยเหลือผู้ป่วยที่ต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด เพราะขีดความสามารถของระบบสาธารณสุขทุกประเทศย่อมมีได้จำกัด ไม่อาจรองรับผู้ป่วยที่ป่วยพร้อมกันคราวละเป็นหมื่นเป็นแสนคนได้
วิกฤติ COVID-19 ครั้งนี้จะส่งผลสะเทือนต่อระบบเศรษฐกิจและสังคมไปอีกนาน และแน่นอนว่าความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นจะรุนแรงตามระดับความเหลื่อมล้ำในแต่ละประเทศ ในประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงมากอย่างไทย การระบาดของโรคก็ทำให้คนจนตกอยู่ในความเสี่ยงมากกว่าคนรวยหลายเท่า
ตั้งแต่การที่ไม่สามารถปรับวิถีชีวิต เปลี่ยนมานั่งทำงานที่บ้านสบายๆ ได้เพราะทำงานแบบหาเช้ากินค่ำ สุ่มเสี่ยงจะติดเชื้อระหว่างเดินทางโดยระบบขนส่งสาธารณะและในพื้นที่ทำงานอันแออัด หน้ากากอนามัยก็แพงและหาซื้อไม่ได้ อยากได้รับแจกทั้งทีก็ต้องถ่อไปต่อคิวยาวตั้งแต่ตีสี่ตีห้าที่กระทรวงเพราะนักการเมืองอยากเอาหน้ามากกว่าใส่ใจในชีวิตของประชาชน ดีไม่ดีถ้ารวมค่าเดินทางไปกระทรวงแล้วหน้ากาก ‘ฟรี’ นั้นอาจแพงกว่าถ้าไปซื้อเองเสียอีก
คนมีเงินสามารถกักตัวเอง ทำงานที่บ้าน social distancing ได้อย่างไม่ยากเย็นนัก หน้ากากอนามัย เจลล้างมือ และอุปกรณ์ต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดูแลตัวเองก็หาซื้อได้จากร้านค้าออนไลน์ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางก็สามารถใช้รถส่วนตัว ไม่ต้องพึ่งระบบขนส่งสาธารณะ เมื่อไม่สบายใจก็ไปโรงพยาบาลเอกชน จ่ายเงินหลายพันแลกกับความสบายใจว่าติดเชื้อหรือไม่ ถ้าป่วยก็ได้รับการรักษาพยาบาลอย่างดีที่สุด ไม่ต้องรอลุ้นโรงพยาบาลของรัฐว่าจะดูแลได้หรือไม่
ยิ่ง COVID-19 แผลงฤทธิ์ รัฐยิ่งต้องทุ่มเททรัพยากร
งบประมาณที่มีให้กับการยกระดับ ‘ศักยภาพการป้องกัน’ โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่ไม่มีโอกาสทำงานที่บ้าน อาทิ ผู้อาวุโสที่มีรายได้น้อย พนักงานบริการ แพทย์ พยาบาล ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ฯลฯ ไม่ใช่เรื่องพื้นๆ อย่างหน้ากากอนามัยก็จัดการให้เพียงพอในประเทศไม่ได้ ตลอดจนต้องยกระดับ ‘ความเข้มข้นและศักยภาพในการตรวจโรค’ ให้กับประชาชน และ ‘ศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยขั้นรุนแรง’ เพื่อเตรียมรับมืออย่างดีที่สุด
ความแย่ของรัฐบาลทหารไทยนั้นคงไม่ต้องสาธยายให้มากความอีกต่อไป ความโกรธแค้นของประชาชนดูได้จากความเห็นใต้โพสต์บนเพจเฟซบุ๊กทางการของรัฐ และตามเว็บสื่อต่างๆ หลายคนเปลี่ยนแฮชแท็กยอดฮิต #ผนงรจตกม มาเป็น #ผู้นำตายเราจะรอดกันหมด
วิกฤติ COVID-19 นอกจากจะเปิดเปลือยความไร้ความสามารถและความสามานย์ของรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลกให้เห็นอย่างเด่นชัดแล้ว ยังเผยให้เห็นเนื้อแท้ของผู้มีอำนาจในสังคมที่เหลื่อมล้ำระดับโลกว่า
ให้น้ำหนักกับการรักษาผลประโยชน์ของนักธุรกิจใหญ่
ผู้เป็นฐานเสียงและถุงเงินของตน
มากกว่าจะเร่งดูแลประชาชนผู้ด้อยโอกาส
กลุ่มที่สุ่มเสี่ยงจะเดือดร้อนจากโรคนี้มากที่สุด สังเกตได้จากความใจป้ำของรัฐบาล ให้ “ชดเชย” คิงพาวเวอร์ล่วงหน้าถึง 2 ปี โดยยกเว้นการจัดเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำรายเดือนและรายปี มูลค่านับหมื่นล้านบาท หรือแนวคิดที่จะตั้งกองทุนแสนล้านเพื่อพยุงหุ้น ทั้งที่ตลาดหุ้นยังตกอย่างต่อเนื่องตามแนวโน้มของโลก ในขณะที่หน้ากากอนามัยยังขาดแคลนรวมทั้งในโรงพยาบาลของรัฐ
ผลพวงทางเศรษฐกิจที่เกิดจาก COVID-19 ระบาดย่อมแบกรับไม่เท่ากันระหว่างคนจนกับคนรวย ไม่ต่างจากวิกฤติอื่นๆ คนรวยมีเงินเก็บที่เพียงพอสำหรับรองรับการใช้ชีวิตในช่วงวิกฤติ ต่อให้รายได้จะลดลง แต่คนจนนอกจากจะไม่มีเงินเก็บแล้ว การตกงาน (หรือถูกนายจ้างบอกว่าจะงดจ่ายค่าจ้างชั่วคราวเพราะต้องปิดร้านช่วงโรคระบาด) อาจหมายถึงการไม่มีข้าวกินและหนี้นอกระบบดอกมหาโหดที่พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้ทางออก
น่าแปลกหรือที่ไทยกลายเป็นประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในอาเซียน ที่ 14.4 คน ต่อประชากร 100,000 คน
COVID-19 จึงชวนให้เราหวนคิดถึงความเหลื่อมล้ำ โลกาภิวัตน์ และด้านมืดของระบบทุนนิยม รวมถึงพลังทำลายล้างของ ‘หนี้สิน’ ซึ่งเปรียบดังโซ่ตรวนสมัยใหม่ ซึ่งก็ไม่มีเกมไหนที่ฉายภาพประเด็นเหล่านี้ได้อย่างแจ่มชัดและสะเทือนใจเท่ากับ Kentucky Route Zero มหากาพย์เกมผจญภัยที่ใช้เวลาสร้างนานกว่า 7 ปี กว่าจะครบทั้ง 5 ตอน จากสตูดิโออินดี้นาม Cardboard Computer
Kentucky Route Zero เปิดฉาก ณ ปั๊มน้ำมันแห่งหนึ่งยามอาทิตย์อัสดง เราเล่นเป็น คอนเวย์ (Conway) หนุ่มใหญ่วัยใกล้เกษียณที่ยังชีพด้วยการขับรถบรรทุกให้กับร้านขายของเก่า เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในชนบทอเมริกา เขาแวะปั๊มน้ำมันเพื่อถามทางไปถนนด๊อกวูด เพื่อเดินทางไปส่งสินค้ารอบสุดท้ายในชีวิต ร้านกำลังจะปิดตัวลงเพราะโดนพิษเศรษฐกิจ เจ้าของปั๊มแนะนำคอนเวย์ว่าเขาต้องหาถนนหลวงหมายเลขศูนย์ (The Zero) อันลึกลับและอยู่ใต้ดินให้เจอ ถ้าอยากจะไปถึงจุดหมาย
จากนั้นอีกไม่นานเรื่องราวก็คลี่ออกเป็น ‘สัจนิยมมหัศจรรย์’ (magical realism) อันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครและไม่มีใครเหมือน ระหว่างทางเราจะได้พบเพื่อนร่วมทางหลายคน ตั้งแต่สาวนักซ่อมทีวี เด็กน้อยเปี่ยมจินตนาการ นักดนตรี โดยสารด้วยพาหนะแปลกประหลาดตั้งแต่ นกอินทรีย์ยักษ์ เรือใหญ่ที่ขับด้วยหุ่นยนต์รูปช้างแมมม็อธ สำรวจสถานที่เหนือจริงแต่ก็ดูเข้าใจได้อย่าง โรงกลั่นเหล้าใต้ดินที่พนักงานคือ โครงกระดูกเรืองแสงเดินได้ ‘สำนักงานพื้นที่ที่ถูกนำมาใช้ใหม่’ (The Bureau of Reclaimed Spaces) หน่วยงานราชการลึกลับซึ่งเป็นตัวเชื่อมระหว่างทางหลวงหมายเลขศูนย์กับโลกผิวดินภายนอก หรือแม้แต่ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ในถ้ำใต้ดินซึ่งใช้เชื้อราเป็นเชื้อเพลิง
Kentucky Route Zero เล่นง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วย เพียงคลิกเม้าส์บอกจุดที่อยากให้คอนเวย์และเพื่อนร่วมทางเดิน จากนั้นในบทสนทนาก็คลิกเลือกตัวเลือกที่ต้องการ นี่เป็นเกมที่ต้องละเลียด ‘อ่าน’ อย่างช้าๆ เพื่อซึมซับสารที่เกมต้องการจะสื่อ ฉากจบทุกตอนมีเพียงหนึ่งเดียวไม่ว่าเราจะเลือกคำตอบในบทสนทนาต่างๆ ว่าอะไร เส้นเรื่องหลักเดินเป็นเส้นตรง แต่เราก็มีอิสระอยู่บ้างโดยเฉพาะสามตอนแรกที่จะสำรวจดินแดน เผื่อจะพบเจอคนหรือสถานที่แปลกๆ ที่ไม่จำเป็นต่อการเล่นให้จบแต่ล้วนน่าสนใจ เติมเต็มโลกของเกมให้รุ่มรวยมากขึ้น
ทั้งเกมไม่มีปริศนาใดๆ ให้ขบคิด
ยกเว้นปริศนาสากลของเยื่อใย
ความสัมพันธ์ ทุนนิยม และหนี้สิน
ธีมหลักในเกมมีมากมายหลายธีม แต่ธีมที่ผู้เขียนคิดว่านำเสนอได้ ‘โดนใจ’ ที่สุด และ ‘ร่วมสมัย’ เป็น ‘สากล’ อย่างยิ่ง คือเรื่องหนี้ เส้นเรื่องหลักของเกมนี้ว่าด้วยรถบรรทุกบุโรทั่งขนของเก่าไปขายผ่านทางหลวงเหนือจริง แต่เรื่องราวที่แท้จริง ที่จะทำให้เกมนี้ไม่มีวันล้าสมัยไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใดคือ ภาระอันหนักอึ้งของหนี้ และภาวะสิ้นหวังไร้อำนาจที่บรรดาผู้พักอาศัยริมทางหลวงหมายเลขศูนย์ต้องประสบ นี่คือภาระและภาวะร่วมสมัยของพวกเราทุกคน ไม่จำเป็นจะต้องเป็นชาวอเมริกันในชนบทก็สัมผัสได้
อเมริกาใน Kentucky Route Zero ดูเหนือจริงแต่สะท้อนโลกแห่งความจริง นี่คือประเทศแห่งหนี้สิน ประเทศแห่งทุนนิยมเสรีสุดขั้วที่ ‘ผู้ชนะ’ และ ‘ผู้แพ้’ ในระบบใช้ชีวิตเหมือนอยู่กันคนละโลก ตัวละครในเกมล้วนแต่เป็นผู้แพ้ แชนนอน (Shannon) สาวน้อยนักซ่อมทีวี เพื่อนผู้ร่วมทางคนแรกของคอนเวย์ กำลังจะถูกยึดร้านของเธอ เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าเช่า คอนเวย์เองหลังจากที่ประสบอุบัติเหตุ ต้องใส่ขาเทียมที่ดูเหมือนกระดูกเรืองแสง ก็ถูกสั่งว่าต้องไปทำงานใช้หนี้ในโรงกลั่นเหล้าหลังจากที่ส่งของเสร็จแล้ว เพราะไม่มีเงินจ่ายค่าต่อขาเทียม ในตอนที่ห้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายของเกม เราจะได้พบกับ ‘เมืองบริษัท’ (corporate town) เมืองทั้งเมืองที่บริษัทโรงไฟฟ้าสร้างให้พนักงานอยู่อาศัย ภายใต้เงื่อนไขกดขี่ต่างๆ นานาที่ทำให้พวกเขาไม่มีทางออกอื่น
บริษัทยักษ์ใหญ่ในเกมชื่อ ‘คอนโซลิเดทเต็ท พาวเวอร์ (Consolidated Power)’ เป็นภาพแทนบริษัทมหาอำนาจในโลกจริง กิจการหลักของบริษัทนี้คือโรงไฟฟ้า ทว่าสยายปีกไปประกอบธุรกิจแทบทุกชนิด สถานที่แต่ละแห่งที่เราไปเยือนในเกมเคยถูกระทบจากบริษัททั้งนั้น ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม พนักงานของบริษัทถูกตัวละครอื่นอธิบายว่า “แทบจำไม่ได้” พวกเขาถูกหนี้สินบั่นทอนทั้งร่างกายและจิตใจจนกลายสภาพเป็นโครงกระดูกเรืองแสงเดินได้ และเราก็จะได้สำรวจสภาพการทำงานในโรงงานของบริษัทและสังเกตโครงกระดูกเดินได้เหล่านี้ชัดๆ ในเกม ในโรงงานใต้ดินซึ่งตั้งอยู่ใต้โบสถ์และสุสานร้าง (ตลกร้ายเช่นนี้พบเห็นได้แทบทุกจังหวะในเกม)
ผู้จัดการโรงงาน (โครงกระดูกเรืองแสงเดินได้ไม่ต่างจากคนงาน) แนะนำพนักงานคนหนึ่งอย่างหน้าตายระหว่างที่พาเราเยี่ยมชมโรงงานว่า “คนนี้ชื่อ เอิร์ล เขาเคยทำงานเป็นคนเลี้ยงผึ้ง ยืมถังไม้ใช้แล้วมาใส่รังผึ้ง แต่ดอกเบี้ยสะสมงอกเร็วกว่าน้ำผึ้ง วันนี้เขาทำงานให้เราในฝ่ายโลจิสติกส์”
พื้นที่ทั้งเกมเต็มไปด้วยร้านค้าข้างทางที่ถูกทิ้ง บ้านไม้ผุพัง ตึกเก่าโกโรโกโส การคืบคลานที่สัมผัสได้ของหนี้สินและความวิตกกังวล ความรู้สึกของลูกหนี้ที่สัมผัสได้ตรงกันทั่วโลก ยิ่งเราเป็นหนี้และมีปัญหาในการใช้หนี้ เรายิ่งสุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ ต้อง “ผลัดผ้าขาวม้า” กู้หนี้ก้อนใหม่มาโปะหนี้ก่อนเก่า อย่าไปคิดถึงอนาคตเพราะมันหดหู่เกินทน คิดไกลก็ไร้ประโยชน์ คิดถึงเรื่องเฉพาะหน้าดีกว่าว่าวันนี้จะเอาตัวรอดอย่างไร
การเพิ่มพูนหนี้กลายเป็นวิถีชีวิต หนี้สินและความยากจนบังคับให้คน ‘อยู่กับปัจจุบัน’ อย่างไม่ต้องพึ่งพระธรรมคำสั่งสอน ถ้าเป็นหนี้มากๆ คนก็จะถูกยึดบ้าน ยึดร้าน ตกระกำลำบากมากกว่าเดิม ออกไปเป็นคนเร่ร่อน ไร้หลักแหล่งและไร้ซึ่งความหวัง
ยิ่งถ้าเกิดมาจน
โอกาสในชีวิตก็น้อยเพราะสังคมมีความเหลื่อมล้ำมหาศาล
ตัวละครคนหนึ่งในเกมชื่อ วิล (Will) (เราพบเขาในตอนที่สี่) เคยทำงานเป็นภารโรงในมหาวิทยาลัย พยายามเรียนรู้ด้วยการฟังเสียงเลคเชอร์ผ่านช่องลมระหว่างกวาดพื้น และซื้อแผ่นเสียงเถื่อนมากล่อมตัวเองให้หลับ ครั้งแรกที่เราพบกับวิล เขาพยายามซ่อมเรือที่ขับด้วยช้างกลแมมม็อธอยู่ บ่นว่าต้องหาชิ้นส่วนซับซ้อนมาซ่อมให้เสร็จ
ในแง่หนึ่ง วิลเป็นตัวแทน ‘สปิริตเสรีชน’ แบบอเมริกัน ปัจเจกแบบที่เป็นพระเอกใน ‘ความฝันแบบอเมริกัน’ (American Dream) ซึ่ง Kentucky Route Zero บอกเราว่าเป็นเพียงมายาคติเท่านั้น เสรีชนในความฝันแบบอเมริกันขยันทำงาน ไต่เต้าจากไม่มีอะไรเลยไปสู่ความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่วิลในเกมเลือกใช้ชีวิตบนเรือแทนที่จะตั้งหลักแหล่ง ทำงานเป็นหนูถีบจักรในระบบเพื่อแสวงหาความสำเร็จ เพื่อโอกาสน้อยนิดที่จะได้เป็น “ผู้ชนะ” และหลุดพ้นจากวงจรหนี้ ในแง่นี้อาจมองได้ว่าวิลหลบหนีออกจากชีวิตแห่งหนี้สิน ด้วยการใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายที่ชายขอบ ไม่เข้าไปข้องแวะกับระบบ
Kentucky Route Zero ใช้เวลาสร้างนานกว่า 7 ปี หลังจากที่ตอนแรกออกในปี ค.ศง2013 โลกแห่งความจริงมีเหตุการณ์สำคัญๆ เกิดขึ้นมากมายระหว่างทาง แต่ความล่มสลายของชนบทอเมริกันจากการรุกรานของอุตสาหกรรมไร้หัวใจที่สมาทานทุนนิยมชนิดเสรีสุดขั้ว การสูญสลายของสายใยทางสังคมที่เคยเกาะเกี่ยวชุมชนเป็นกลุ่มก้อน ยังคงเป็นความจริงไม่เปลี่ยนแปลง
Kentucky Route Zero บอกเราค่อนข้างตรงไปตรงมาตลอดทั้งเกมว่า ระบบทุนนิยมโดยธรรมชาติย่อมเดินด้วยเงินตรา ไม่สนหยดน้ำตาของผู้คน แต่ระบบตลาดถ้ารัฐไม่ทำอะไรเลยนั้นสุดท้ายบั่นทอนสายใยทางสังคม และแบ่งแยกคนออกจากกัน แต่อย่างไรก็ดี ตัวละครในเกมหลายคนกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุข พวกเขามองเห็นแง่งามเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตที่ดูสิ้นหวัง ไม่ว่าชีวิตจะเปราะบาง ไม่ว่าพวกเขาจะถูกหนี้สินกดทับสักเพียงใด
ในตอนที่ห้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายในเกม สุดท้ายเราจะโผล่ขึ้นมาบนผิวดิน การเดินทางสิ้นสุดลงพร้อมกับเช้าวันใหม่ ในที่สุดพระอาทิตย์ก็ขึ้น หลังจากที่เดินทางในความมืดมาสี่ตอน สภาพของ ‘เมืองบริษัท’ ภายหลังจากที่เกิดน้ำท่วมใหญ่เสียหายหนักแลดูน่าหดหู่ก็จริง แต่ผู้คนที่เหลืออยู่ก็ไม่หมดหวัง พวกเขากำลังก่อร้างสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ด้วยน้ำมือของตัวเอง
ราวกับจะบอกว่า ไม่ว่าเราจะถูกระบอบกดทับสักเพียงใด ถูกเอารัดเอาเปรียบสักเพียงไหน สุดท้ายความเข้าอกเข้าใจกัน สายสัมพันธ์ทางสังคมก็คือสิ่งที่ร้อยเราไว้ด้วยกัน มอบพลังในการสู้ชีวิต รอคอยเช้าวันใหม่ซึ่งถึงอย่างไรก็ต้องมาเสมอ